วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

5 ผลไม้คลายร้อน

" อากาศร้อนๆแบบนี้ ต้องหาผลไม้ทานคลายร้อนกันนะคะ
ปล่อยให้อากาศร้อนไป แต่คนอย่าใจร้อนนะคะ
วันนี้ผมมี 5 ผลไม้มาแนะนำสำหรับอากาศที่ร้อนอย่างนี้ และยังได้สุขภาพที่ดีด้วยค่ะ "

ขอบคุณรูปภาพ www.sanook.com และ http://share.psu.ac.th/blog/patswut/33195

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

กินกล้วยวันละ 2 ผล เกิดประโยชน์มหาศาล

 

 
     ถ้าต้องการให้ระดับพลังงานที่หย่อนยานลงให้กลับคืนมาอย่างรวดเร็วไม่มีอาหารว่างใดดีไปกว่ากล้วย อุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทส และกลูโคส รวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอ กับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที

จึงไม่น่าแปลกใจที่กล้วยเป็นผลไม้อันดับหนึ่งของนักกีฬาชั้นนำระดับโลก ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้นยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรค จึงควรรับประทานทุกวัน

1. โรคโลหิตจาง
ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วยในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะโลหิตจาง

2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกายินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถโฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก

3. กำลังสมอง นักเรียน 200 คน ที่โรงเรียน Twickenham ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปีนี้ ด้วยการรับประทานกล้วยในมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา จากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วย สามารถให้นักเรียนมีการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น

4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูก โดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย

5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจเร็ว ๆ นี้ ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลายคน จะมีความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า try potophan เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็น serotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง

6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา

7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้าปัญาเกี่ยวกับอาการเสียดท้อง ลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้

8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือดให้คงที่ เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า

9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบอย่างมหัศจรรย์ว่า เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้

10. ระบบระสาท ในกล้วยมีวิตามินบี สูงมาก ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้ โรคน้ำหนักเกินและโรคที่เกิดในที่ทำงาน จากการศึกษาของสถาบันจิตวิทยาในออสเตรียค้นพบว่า ความกดดันในที่ทำงานเป็นเหตุนำไปสู่การกินอย่างจุบจิบ เช่นอาหารพวกช็อคโกแล็ต และอาหารประเภททอดกรอบต่าง ๆ ในนจำนวนคนไข้ 5,000 คน ในโรงพยาบายต่าง ๆ นักวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นโรคอ้วนมากเกินไป และส่วนใหญ่ทำงานภายใต้ความกดดันสูงมาก จากรายงานสรุปว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการตื่นตระหนกและนำไปสู่การกินอาหารอย่างบ้าคลั่ง เราจึงต้องควบคุมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบโฮเดรตสูง เช่น กินกล้วยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่อยยา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วย สารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ได้

11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุม เพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะเนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย

12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่ากล้วย คือผลไม้ที่สามารถทำให้อุณหภูมิเย็นลงได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่า ทกรกที่เกิดมาจะมีอุณหภูมิเย็น

13. ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้ เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ try potophan ทำให้อารมณ์ดี

14. การสูบบุหรี่ กล้วยสามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณของวิตามินซี เอ บี6 และบี 12 ที่สูงมาก และยังมีโปรแตสเซียมกับแมกนีเซียม ที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นคืนตัวได้เร็ว อันเป็นผลจากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง

15. ความเครียด โปรแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ การส่งออกซิเจน ไปยังสมอง และปรับระดับน้ำในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตรา metabolic ในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปรแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิดความสมดุล

16. เส้นเลือดฝอยแตก จากการวิจัยที่ลงในวารสาร “The New England Journal of Medicine” การกินกล้วยเป็นประจำสามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40%

17. โรคหูด การรักษาหูดด้วยวิธีทางเลือกแบบธรรมชาติ โดยการใช้เปลือกของกล้วยวางปิดลงไปบนหูด แล้วใช้แผ่นปิดแผลหรือเทปติดไว้ให้ด้านสีเหลืองของเปลือกกล้วยออกด้านนอก ก็จะสามารถรักษาโรคหูดให้หายได้

เห็นหรือไม่ว่า กล้วยรักษาโรคต่าง ๆ อย่างธรรมชาติได้มากมาย ท่านควรลองพิสูจน์ด้วยตัวเองบ้าง ว่าจะได้ผลตามที่กล่าวหรือไม่ และเมื่อเปรียบเทียบแอปเปิ้ลแล้ว กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิ้ล 4 เท่า มี คาร์โบรไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีวิตามินเอ และธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่น มากกว่าอีก 2 เท่า และกล้วยยังอุดมด้วยโปรแตสเซียม กล้วยจึงเป็นหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุด

ดังนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เคยกินแอปเปิ้ลวันละผลทุกวันไม่ต้องไปหาหมอ หันมาคุ้นเคยกับคำว่า  “กินกล้วยวันละผล ก็ไม่ต้องไปหาหมอ” นอกจากนี้มีคนที่เคยเป็นตะคริวที่เท้า ข้อเท้า และน่อง แนะนำให้กิน กล้วยทุกวัน ตั้งแต่นั้นมาไม่เป็นตะคริวอีกเลย และหายไป

(มาจากวารสารสารอโศก อันดับ 261 มิถุนายน 2546 ISSN 0857-7585)

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

5 ทำ 5 ไม่ ห่างไกลมะเร็ง


สธ.เผยคนไทยลาโลกด้วยมะเร็งมากเป็นอับดับหนึ่ง ปีละกว่า 60,000 คนติดต่อกันมานานกว่า 10 ปี นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า คนไทยตายด้วยโรคมะเร็งติดต่อกันมากกว่า 10 ปี โดยปีละประมาณ 60,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง           ทั้งนี้ สาเหตุการตายอันดับหนึ่งในนั้นคืออายุที่เพิ่มขึ้น ความเสี่ยงของโรคจะเพิ่มขึ้นด้วย โดยมะเร็งเป็นโรคที่มีระยะเวลาการก่อโรคยาวนาน ใช้เวลาหลายปีกว่าจะปรากฎอาการผิดปกติ ผู้ที่เป็นส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ตัว
            อย่างไรก็ตามปัจจุบันคนไทยมีอายุยืนยาวขึ้น ระบบควบคุมโรคติดต่อดีขึ้น ขณะเดียวกันมีการควบคุมอัตราการตายของทารกแรกเกิดและเด็กลดลง ส่งผลให้โครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงและกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงคาดการณ์ว่า ในอนาคตจะพบผู้ป่วยโรคมะเร็งมากขึ้น
            รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า สธ.พยายามให้ความรู้ประชาชนเพื่อลดความเสี่ยงโรคมะเร็งทั้งหญิงและชายให้ครอบคลุมทั้งการตรวจคัดกรองและเพิ่มการตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งผู้ที่ไม่เคยตรวจก็มีโอกาสเป็นได้ การตรวจสุขภาพจึงทำให้รู้สถานะสุขภาพของตนเองเพื่อเฝ้าระวังความผิดปกติและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดความเสี่ยง
             นอกจากนี้ สธ.ได้จัดทำคำแนะนำเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งโดยใช้สูตรปฏิบัติตัว 5 ทำ 5 ไม่ ห่างไกลมะเร็ง
             ด้าน นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า จากข้อมูลทะเบียนมะเร็งปี 2552 มีผู้ป่วย 102,791 คน ชาย-หญิง พอๆกัน มะเร็งที่พบบ่อยมากในผู้ชายได้แก่ มะเร็งตับ ส่วนในผู้หญิงที่พบมากอันดับหนึ่งได้แก่มะเร็งเต้านม 10,193 คน

สำหรับสัญญาณอันตรายของโรคมะเร็งมี 7 ประการ ได้แก่

1.  ระบบขับถ่ายผิดปกติเช่น ถ่ายเป็นก้อนแข็ง ท้องผูกนานหลายวัน
2.  เป็นแผลเรื้อรังรักษาไม่หาย
3.  ร่างกายมีก้อนมีตู่มขึ้น
4.  กลืนกินอาหารลำบาก
5.  มีเลือดออกที่ทวารหนักหรือช่องคลอด
6.  ไฝ หูด มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
7.  ไอเรื้อรังเสียงแหบ 
หากพบความผิดปกติดังกลาวควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจหามะเร็ง

ที่มา : 
หนังสือพิมพ์ M2F

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เตือนภัยบริโภคเห็ดป่าระวังเห็ดพิษอาจถึงตาย


ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เตือนภัย ปชช. ที่ชอบบริโภคเห็ดป่า ระวังเห็ดพิษ ปีนี้พบแล้ว 91 ราย
                  น.พ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุข ขอเตือนประชาชนที่ชอบรับประทานเห็ดป่า ให้ระวังเห็ดพิษ หรือที่เรียกว่า เห็ดเมา ซึ่งในประเทศไทยพบประมาณ 12 ชนิด ที่รุนแรง และพบบ่อย คือ เห็ดระโงกหิน มีลักษณะใกล้เคียงเห็ดที่กินได้ โดยเฉพาะช่วงที่ดอกเห็ดยังอ่อน หรือดอกตูมจะแยกไม่ออก ซึ่งพิษมีความทนทานต่อความร้อน มีฤทธิ์ทำลายตับ ไต สมอง อาจเสียชีวิตใน 4-6 ชั่วโมง ทั้งนี้ หากกินแกล้มกับเหล้าด้วย อาจจะทำให้อันตรายมากยิ่งขึ้น ชี้การทดสอบพิษแบบพื้นบ้าน เช่น ต้มพร้อมช้อนนั้น เชื่อถือไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ในรอบ 4 เดือนปีนี้ (1 มกราคม-11 พฤษภาคม 2557) พบผู้ป่วยแล้ว 91 ราย และมักป่วยยกบ้าน สำหรับอาการหลังรับประทาน 3 ชั่วโมง จะเกิดอาการ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เพ้อ คลุ้มคลั่ง ซึม ชัก แนะนำประชาชนควรหลีกเลี่ยงการเก็บเห็ดป่า หรือเห็ดที่ไม่รู้จักนำมารับประทาน ทั้งนี้ ข้อสังเกตเห็ดที่มีพิษ มักจะมีกลิ่นเอียน สีเข้มจัด มีขนหรือหนามเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วไป

ตารางเปรียบเทียบลักษณะเห็ดพิษและเห็ดรับประทานได้ 

เห็ดพิษ
เห็ดรับประทานได้
1. ส่วนใหญ่เจริญงอกงามในป่า
1. ส่วนใหญ่เจริญในทุ่งหญ้า
2. ก้านสูง ลำต้นโป่งพองออก โดยเฉพาะที่ฐาน กับที่วงแหวนเห็นชัดเจน
2. ก้านสั้น อ้วนป้อมและไม่โป่งพองออก ผิวเรียบไม่ขรุขระ ไม่มีสะเก็ด
3. สีผิวของหมวกมีได้หลายสี เช่น สีมะนาว ถึงสีส้ม สีขาวถึงสีเหลือง
3. สีผิวของหมวกส่วนใหญเป็นสีขาวถึงสีน้ำตาล
4. ผิวของหมวกเห็ดส่วนมากมีเยื่อหุ้มดอกเห็ดเหลืออยู่ในลักษณะที่ดึงออกได้ หรือเป็นสะเก็ดติดอยู่
4. ผิวของหมวกเห็ดเรียบจนถึงเป็นเส้นใยและ เหมือนถูกกดจนเป็นแผ่นบาง ๆ ดึงออกยาก
5. ครีบแยกออกจากกันชัดเจน มักมีสีขาว บางชนิดสีแดงหรือสีเขียวอมเหลือง
5. ครีบแยกออกจากกัน ในระยะแรกเป็นสีชมพู แล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
6. สปอร์ใหญ่มีสีขาวหรือสีอ่อน มีลักษณะใส ๆ รูปไข่กว้าง
6. สปอร์สีน้ำตาลอมม่วงแก่รูปกระสวยกว้าง















การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
        การปฐมพยาบาลมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากผู้ป่วยรับประทานเห็ดพิษและเกิดอาการพิษขึ้น ควรจะรู้จักวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องกับผู้ป่วย แต่ตามชนบทมักจะแสดงอาการหลังรับประทานแล้วหลายชั่วโมง ซึ่งพิษมักจะกระจายไปมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรู้จักวิธีปฐมพยาบาล แล้วรีบนำส่งแพทย์ เพื่อทำการรักษาโดยรีบด่วนต่อไป

        การปฐมพยาบาลนั้น ที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้ผู้ป่วยอาเจียนเอาเศษอาหารที่ตกค้างออกมาให้มาก และทำการช่วยดูดพิษจากผู้ป่วยโดยวิธีใช้น้ำอุ่นผสมผงถ่าน activated charcoal แล้วดื่ม 2 แก้ว โดยแก้วแรกให้ล้วงคอให้อาเจียนออกมาเสียก่อนแล้วจึงดื่มแก้วที่ 2 แล้วล้วงคอให้อาเจียนออกมาอีกครั้ง จึงนำส่งแพทย์พร้อมกับตัวอย่างเห็ดพิษหากยังเหลืออยู่ หากผู้ป่วยอาเจียนออกยากให้ใช้เกลือแกง 3 ช้อนชาผสมน้ำอุ่นดื่ม จะทำให้อาเจียนได้ง่ายขึ้น แต่วิธีนี้ห้ามใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ

        อนึ่งห้ามล้างท้องด้วยการสวนทวารหนักโดยพละการ วิธีนี้ต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยเท่านั้น เพราะวิธีนี้เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยหากร่างกายขาดน้ำ

        หลังจากปฐมพยาบาลผู้ป่วยแล้วให้รีบนำส่วนแพทย์โดยด่วน พร้อมกับตัวอย่างเห็ดพิษ (หากยังเหลืออยู่) หรืออาจจะทำการปฐมพยาบาลผู้ป่วยในระหว่างนำส่งแพทย์ด้วยกันก็ได้
 

 อ่านต่อ

 

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เคล็ดลับเพิ่มความจำ



1. อาหารเพิ่มความจำดี อยู่ในอาหารกลุ่มวิตามินบี เช่น นมพร่องมันเนย กล้วย ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วต่าง ๆ ผัก ผลไม้ ช่วยป้องกันสมองเสื่อม ความจำเลอะเลือน
กลุ่มธาตุเหล็ก เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล มีผลต่อไอคิว ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้ายซึ่งเกี่ยวกับระบบการคิด ไข่แดง ตับ ถั่วลิสง เนยถั่ว บำรุงเซลล์สมอง ปลาที่มีโอเมก้า 3 อาทิ ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน และปลาแมคคอเรล ช่วยป้องกันความจำเสื่อม
2. ออกกำลังเพิ่มความจำ การออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดทำให้เลือดนำออกซิเจนไป เลี้ยงสมองได้ดียิ่งขึ้นทั้งนี้ควรออกกำลังกายให้หลากหลายประเภท เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองจากการฝึกฝนทักษะใหม่ ๆ เช่น การเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน เต้นแอโรบิก หรือว่ายน้ำ เป็นต้น
3. นอนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองเซลล์ประสาทจะสื่อสารกันได้มากขึ้น ส่งผลต่อการเรียนรู้และความจำ
4. บริหารสมองด้วยเกมส์เสริมทักษะ อาทิ การเล่นหมากรุก หมากล้อม เล่นเกมคอร์สเวิร์ด ฯลฯ ซึ่งต้องใช้ความคิด เซลล์สมองจะเจริญเติบโตมากขึ้น ความสามารถในการจำก็จะดีขึ้นด้วย

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เบาหวานกับการดูแลสุขภาพเท้า


             ปัญหาที่น่ากลัวของผู้ป่วยโรคเบาหวานอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการเป็นแผลที่เท้า เพราะหากไม่ดูแลให้ดีอาจสูญเสียขาและเสียชีวิตได้ ซึ่งปัจจุบันผู้ป่วยเบาหวานก็มีแนวโน้มการถูกตัดขาเพิ่มขึ้นจากการเป็นแผลที่เท้า จากข้อมูลของสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พบว่า ทุก 1 ปี มีผู้ป่วยเบาหวานถูกตัดเท้าถึง 1 ล้านเท้า
      
       สำหรับสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานเกิดแผลที่เท้าได้ง่าย เพราะ
1.การเสื่อมของเส้นประสาทส่วนปลายซึ่งรับความรู้สึก ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อเหยียบวัตถุมีคม หรือโดนวัตถุที่มีอุณหภูมิสูงหรือการกดรัดที่เท้า จึงเกิดแผลโดยไม่รู้ตัว
2.โรคหลอดเลือดส่วนปลายตีบตัน ทำให้เนื้อเยื่อขาดเลือดมาเลี้ยง เกิดเนื้อตาย หรือเมื่อเกิดแผลจากเหตุใดก็ตาม แผลจะหายยาก
3.การติดเชื้อง่าย เมื่อควบคุมเบาหวานไม่ดี ระดับน้ำตาลสูง จะทำให้ความสามารถของเม็ดเลือดขาวในการกำจัดเชื้อโรคลดลง ทำให้เชื้อโรคลุกลาม และ 4.ภาวะเส้นประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ไม่มีเหงื่อออกผิวหนังบริเวณส่วนขาจึงแห้ง คัน หากเกาอาจมีแผลแตกและติดเชื้อได้ง่าย
        เมื่อผู้ป่วยเบาหวานเกิดแผลที่เท้า แผลจึงมักหายยากและเรื้อรัง ลุกลามได้ง่าย จึงเป็นต้นเหตุในการตัดขา ซึ่งพบสูงถึง 15-40 เท่าของผู้ที่ไม่เป็นเบาหวาน ยิ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวานนานกว่า 25 ปี ขึ้นไปมีโอกาสต้องถูกตัดขาสูงถึงร้อยละ 11




วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

วิธีทำน้ำเกลือแร่

เกลือแร่

1.ผงน้ำตาลเกลือแร่ (ORS)
        การใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่นั้นให้ดูที่ฉลากหน้าซองว่าผสมกับน้ำในสัดส่วนเท่าไหร่ ซึ่งโดยปกติแล้ว ผงน้ำตาลเกลือแร่ 1 ซองเล็ก จะผสมกับน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว 1 แก้ว แต่ก็มีข้อควรระวังที่ควรรู้ไว้ด้วย คือ ต้องไม่ใช้น้ำร้อนในการละลาย
สรรพคุณ: ใช้ทดแทนการเสียน้ำและเกลือแร่ในรายที่มีอาการท้องร่วง หรือในรายที่อาเจียนมาก  หรือเสียเหงื่อมากก็ได้. นอกจากนี้ ยังใช้ป้องกันการช็อกจากการเสียน้ำมากได้ด้วย.
ขนาดและวิธีใช้: เทผงยาทั้งซองลงในน้ำดื่ม 1 แก้ว (สำหรับซองเล็ก) หรือ 1 ขวด (สำหรับซองใหญ่), ใช้ดื่มบ่อยๆ แทนน้ำเมื่อเริ่มมีอาการท้องร่วง. ถ้าถ่ายบ่อย ให้ดื่มบ่อยครั้งขึ้น. ถ้าอาเจียนด้วย ให้ดื่มทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง. ให้ดื่มแทนน้ำตามปริมาณอุจจาระและปัสสาวะที่ถ่ายออกไป หรือจนกว่าปัสสาวะออกมากและใสหรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น.
คำเตือน: คนที่เป็นโรคไต โรคหัวใจ หรือบวม ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง, เพราะอาจทำให้บวมและเหนื่อย. เมื่อละลายยาในน้ำแล้ว อย่าทิ้งไว้เกิน 24 ชั่วโมง ยาจะบูดเสีย ไม่ควรใช้.


2. น้ำเกลือชาวบ้าน
สรรพคุณ: ใช้ทดแทนการเสียน้ำและเกลือแร่เช่นเดียวกับผงน้ำตาลเกลือแร่. โดยสามารถผสมเองตามสูตรผสม ดังนี้
น้ำสุก 1 ขวด (ขวดน้ำปลากลม 750 มล.).
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ (หรือ 2 กำมือ).
เกลือ ครึ่งช้อนชา (1-2 หยิบมือ).
นำมาผสมกันหรือต้มรวมกันก็ได้.
ขนาดและวิธีใช้: เช่นเดียวกับผงน้ำตาลเกลือแร่.
ข้อควรระวัง : ถ้าดื่มไม่หมดภายใน 24 ชั่วโมงให้เททิ้งแล้วผสมใหม่


 
 
ขอขอบคุณบทความจาก ความรู้รอบตัว.com

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

ชวนชะลออัลไซเมอร์ ! ด้วยอาหารเช้า


           ใครไม่อยากสมองเสื่อม หรือหลงลืมอะไรได้ง่าย ห้ามขาดอาหารเช้า ไม่ว่าจะมื้อเล็ก มื้อใหญ่ หรือมื้อง่ายๆ ก็ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นอัลไซเมอร์ได้อย่างดี           สาเหตุที่อาหารเช้ามีส่วนช่วยลดการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือสมองเสื่อม เนื่องจากการที่เราไม่กินอาหารเช้า จะทำให้ร่างกายเราขาดอาหารยาวนานมากกว่า 12-15 ชั่วโมง เพราะระหว่างมื้อเย็นจนมาถึงมื้อเช้าของอีกวัน รวมเวลานอนหลับ ร่างกายจะไม่ได้รับสารอาหารยาวนานมาก ดังนั้นหากเราไม่กินอาหารเช้าผลที่ตามมาคือ ทำให้เราขาดน้ำตาลในเลือด หรือน้ำตาลในเลือดลดลง ซึ่งน้ำตาลในเลือดนี้เอง ที่เป็นอาหารสำคัญต่อการทำงานของสมองของเราทุกคน เมื่อน้ำตาลไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง เซลล์สมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับความคิดความจำก็จะได้รับน้ำตาลไปบำรุงน้อยตามลงไปด้วย



           และนี่เองที่เป็นสาเหตุทำให้สมองขาดน้ำตาล ขาดความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เพราะขนาดร่างกายเรายังต้องการน้ำตาลมาหล่อเลี้ยงให้เพียงพอ สมองก็ต้องการไม่ต่างกัน นอกจากนี้ การกินอาหารเช้ายังทำให้ร่างกายเราสร้างฮอร์โมน “เซโรโทนิน” ที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างสมองให้ทำงานรวดเร็ว ฉับไว คิดอะไรได้แล่นฉิว ไม่เฉื่อยชา หรือเรียกง่ายๆ ว่าช่วยให้สมองไว โดยข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา

           แต่ไม่ใช่แค่นี้ค่ะ เพราะอีกสาเหตุที่ทำให้คนไม่กินอาหารเช้า มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้มากกว่า นั่นเป็นเพราะว่า คนที่ขาดอาหารเช้า ทำให้เป็นโรคกระเพาะได้ง่าย เมื่อเป็นโรคกระเพาะก็ทำให้ต้องกินยาประเภทที่มีส่วนประกอบของอลูมิเนียม เช่น ยาเคลือบกระเพาะต่างๆ ทำให้เกิดการสะสมอลูมิเนียมในร่างกาย ซึ่งมีแนวโน้มก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ด้วย

           เพราะฉะนั้นอาหารเช้า คืออาหารมื้อสำคัญสุด ที่ไม่เพียงแต่ช่วยบำรุงร่งกายให้แข็งแรงสุขภาพดี เตรียมพร้อมต่อการเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวันให้มีประสิทธิภาพแล้ว ยังมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการทำงานของสมอง ป้องกันความจำเสื่อม
ขอบคุณที่มา www.thehealthyclub.com

วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557

ยาคุมฉุกเฉิน...เรื่องจริงที่ผู้หญิงต้องรู้





           ยาคุมฉุกเฉิน ชื่อนี้คุณผู้อ่านหลายท่านอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่าเป็น ยาคุมกำเนิดประเภทหนึ่ง หลายท่านคงร้อง อ๋อ แต่ช้าก่อน ท่านทราบหรือไม่ว่า ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน มีความเหมือนหรือแตกต่างจากยาคุมกำเนิดแบบปกติอย่างไร อีกทั้งยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีวิธีใช้ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัย เป็นเช่นไร หากท่านไม่ทราบ การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินก็จะเหมือนกับการใช้ยาอื่นๆ คือ มีประโยชน์หากใช้ถูกต้อง และก่ออาการข้างเคียงหรืออันตรายหากใช้ไม่ถูก
         
ยาคุมฉุกเฉิน คืออะไร

          มารู้จัก ยาคุมฉุกเฉิน กันก่อน เดิมเรียกว่า "ยาคุมกำเนิดหลังเพศสัมพันธ์" แต่ต่อมาเพื่อความเข้าใจและการใช้ที่ถูกต้องจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน" ซึ่งจริง ๆ แล้ว หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า "ยาคุมฉุกเฉิน" แท้จริงแล้วไม่ใช่ยา แต่เป็นฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งสูงกว่ายาคุมกำเนิดโดยทั่วไปถึง 2 เท่า และมี 2 ชนิดคือ



   1.ยาคุมฉุกเฉินที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว

             มีชื่อทางการค้าว่า โพสตินอร์ จะมีส่วนประกอบหลักเพียงอย่างเดียว คือ ลีโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) ขนาดเม็ดละ 0.75 มิลลิกรัม โดยลีโวนอร์เจสเตรลนี้จัดเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์กลุ่มเดียวกับฮอร์โมนโปรเจสโตเจน (Progestogen) มีฤทธิ์ในการยับยั้งการตกไข่ ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกมีความหนาขึ้นและยากต่อการฝังตัวของไข่ นอกจากนี้ ยังทำให้บริเวณปากมดลูกมีสารคัดหลั่งที่มีลักษณะเหนียวข้นออกมา จึงทำให้ตัวอสุจิเข้าไปผสมกับไข่ได้ยากขึ้น
             ผลข้างเคียงที่อาจพบได้บ่อยคือ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน คัดเต้านม และระดูมาผิดปกติ โดยอาจมาเร็วขึ้นหรือช้าก็ได้ บางครั้งอาจพบเลือดออกกะปริดกะปรอย ดังนั้น ถ้าขาดระดูหรือระดูมากะปริดกะปรอยหลังใช้ยานี้ จำเป็นจะต้องตรวจให้ทราบว่าเป็นการตั้งครรภ์หรือเป็นผลของยา ในกรณีที่ป้องกันไม่ได้ ยังมีโอกาสตั้งครรภ์นอกมดลูกสูงกว่าปกติอีกด้วย
         
   2.ยาคุมฉุกเฉินแบบฮอร์โมนรวม

              หรือที่เรียกว่า Yuzpe regimen เป็นการใช้ฮอร์โมน ethinyl estradiol 0.1 มิลลิกรัม และ Levonorgestrel ขนาด 0.5 มิลลิกรัม โดยยาจะไปขัดขวางการปฏิสนธิของสเปิร์มและไข่ ยับยั้งการตกไข่ หรืออาจมีผลต่อการทำงานของคอร์ปัสลูเตียมก็ได้ ทั้งนี้ วิธีนี้เป็นที่นิยมในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และยุโรปแต่มีข้อเสียคือ มีผลข้างเคียงมากกว่าแบบแรก

การกินยาคุมฉุกเฉิน อย่างไรถูกต้อง

              ตามคำแนะนำบอกไว้ว่า การรับประทานยาคุมฉุกเฉินต้องกิน 2 ครั้ง โดยเม็ดแรกต้องกินภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ จากนั้นอีก 12 ชั่วโมงจึงรับประทานยาเม็ดที่ 2 แต่ถ้าหลังจากทานยาเข้าไปแล้วไม่ว่าครั้งแรกหรือครั้งหลังแล้วเกิดการอาเจียนภายในระยะเวลา 2 ชั่วโมง จะต้องทานยานั้นอีกครั้ง
             ทั้งนี้ วิธีการรับประทานยาข้างต้นก็เป็นวิธีการที่ถูกต้องค่ะ แต่จริง ๆ แล้ว ทางกรมอนามัย ยังได้แนะนำวิธีการกินยาคุมฉุกเฉินอีกหนึ่งวิธีซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้กันก็คือ ให้รับประทานทั้ง 2 เม็ดพร้อมกันเลยใน 5 วันหลังจากมีเพศสัมพันธ์ได้เลย ซึ่งวิธีดังกล่าว ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ รวมทั้งองค์การอาหารและยาของสหรัฐ ว่าใช้ได้ผล และเป็นการป้องกันการลืมกินยาเม็ดที่ 2 ได้ดี แต่ในประเทศไทยยังรับรู้เรื่องนี้น้อยมาก


   

อ่านต่อที่นี้ค่ะ

ขอบคุณ www.pharmacy.mahidol.ac.th , www.kapook.com
 

วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557

โรคที่พบในฤดูร้อน

   โรคที่เกิดในฤดูร้อน    

          ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง เหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคอย่างมาก โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย ยิ่งพื้นที่ ที่ขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ที่สะอาด ยิ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการระบาดของโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ จึงขอให้ระมัดระวังความสะอาดของอาหารและน้ำดื่มเป็นพิเศษ และยึดหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันง่ายๆ ได้แก่ กินร้อน คือ กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ หากยังไม่กิน ต้องเก็บในตู้เย็นหรืออุ่นให้ร้อนก่อนกิน ใช้ช้อนกลางในการกินอาหารร่วมกัน ล้างมือทุกครั้งก่อนกินอาหารและหลังใช้ห้องน้ำห้องส้วม ดื่มน้ำที่สะอาด เช่น น้ำดื่มบรรจุขวดที่มีเครื่องหมาย อย. หรือน้ำต้มสุก
          โรคที่มักเกิดในฤดูร้อนพบได้บ่อยทุกปี  ได้แก่ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน (Acute Diarrhea) โรคอาหารเป็นพิษ (Food Poisoning) บิด (Dysentery) ไทฟอยด์ (Typhoid) อหิวาตกโรค (Cholera) โรคไข้หวัดหน้าร้อน โรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน ผดร้อน โรคเครียด หงุดหงิด ปวดศีรษะ  เป็นลมจากอากาศร้อน (โรคฮีท สโตรค) และโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)



1.โรคอุจจาระร่วง เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่มีเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส โปโตซัว พยาธิ ทำให้มีการถ่ายอุจจาระเหลว ถ่ายเป็นมูกเลือด

2.โรคอาหารเป็นพิษ ติดต่อโดยการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ มักพบในอาหารปรุงสุกๆ ดิบๆ ซึ่งมีอยู่ทั้งในเนื้อสัตว์ ไข่ รวมทั้งอาหารกระป๋อง อาหารทะเล นมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ หรืออาหารที่ปรุงทิ้งไว้เป็นเวลานาน อาการที่พบ มักมีไข้ ปวดท้อง เชื้อที่ได้รับสามารถทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะอาหารและลำไส้ ปวดท้อง ปวดเมื่อย คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง หรือการติดเชื้อจากอวัยวะอื่น เช่น ข้อกระดูก ถุงน้ำดี หัวใจ ปอด ไต เยื่อหุ้มสมอง ไปจนถึงโลหิตเป็นพิษ ถ้าเกิดในทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ จะทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้


3.โรคบิด เกิดจากแบคทีเรียหรืออะมีบา ติดต่อได้โดยการรับประทานอาหาร ผักดิบ น้ำดื่มที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรค อาการสำคัญ คือ ถ่ายอุจจาระบ่อย อุจจาระมีมูกหรือมูกปนเลือด มีไข้ ปวดท้องแบบปวดเบ่ง



4.อหิวาตกโรค เกิดจากเชื้ออหิวาตกโรค ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียติดต่อจากอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อปน จะเกิดอาการถ่ายอุจจาระเป็นน้ำคราวละมากๆ โดยไม่มีอาการปวดท้อง และมีอาการขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรวดเร็ว เช่น กระหายน้ำ อ่อนเพลีย ปัสสาวะน้อย ชีพจรเต้นเร็ว อาจเกิดภาวะช็อก หมดสติจากการเสียน้ำ ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจถึงตายได้

5.ไข้ไทฟอยด์หรือ ไข้รากสาดน้อย ติดต่อจากอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระและปัสสาวะของผู้ป่วย ทำให้มีไข้ ปวดหัว เมื่อย เบื่ออาหาร อาจท้องผูกหรือท้องเสีย อาจมีเชื้อปนออกมากับอุจจาระและปัสสาวะเป็นครั้งคราว และเป็นพาหะนำโรคได้ โรคติดต่อทางอาหารและน้ำส่วนใหญ่เชื้อจะติดต่อทางการรับประทานอาหารและน้ำดื่ม ควรรับประทานอาหารสุขใหม่ ไม่รับประทานอาหารที่มีแมลงวันตอม การรักษาเริ่มแรก ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ (โออาร์เอส) ในสัดส่วนที่ถูกต้อง คือ ผสมน้ำตาลเกลือแร่ 1 ซอง ผสมน้ำสุกที่เย็น 1 แก้ว ให้ดื่มบ่อยๆ และควรดื่มน้ำและอาหารเหลว เช่น น้ำชา น้ำข้าว น้ำแกงจืด น้ำผลไม้ หรือข้าวต้มหากมีอาเจียนมากขึ้น ไข้สูงชัก ควรนำส่งแพทย์โดยเร็ว

  6. โรคไข้หวัดหน้าร้อน โรคนี้สาเหตุเกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ การแสดงอาการอาจถูกกระตุ้นจากปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ร่วมกับการรับเชื้อไวรัสไข้หวัดเข้าไป โดยมีอาการตั้งแต่น้อยไปถึงมาก เช่น อาการหวัดธรรมดาจนถึงหลอดลมอักเสบ ปอดบวม จึงควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนอยู่แออัด อากาศถ่ายเทได้น้อย เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ตลาด แต่ความคิดที่ว่าหลบร้อนไปรับแอร์เย็นๆ ในสถานที่เหล่านี้ก็ควรระมัดระวังให้ดี หากเป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนแอก็ไม่ควรไป แต่หากพบว่าติดเชื้อไข้หวัดเข้าแล้ว ก็ไม่ต้องตกใจมาก ให้พักผ่อนให้พอเพียง ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ รับประทานอาหารร้อน ๆ หากมีไข้สูงก็ทานยาพาราเซตามอลช่วยลดไข้ เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น ก็จะช่วยให้ไข้ลงได้เร็วและสบายตัวขึ้น

                 7. โรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน ผดร้อน โรคผิวหนังเหล่านี้ มักเกิดขึ้นได้มากในหน้าร้อน เมื่อไม่รักษาความสะอาดที่ผิวหนัง สาเหตุมักเกิดขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ผิวหนังและรูขุมขนอักเสบ มีแผลเป็นตุ่มหนอง มีเชื้อราตามจุดอับชื้นต่าง ๆ เหล่านี้ก็ทำให้เกิดโรคกลาก เกลื้อนได้มาก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ หากเล่นน้ำที่ไม่สะอาดเข้า ก็จะเกิดโรคเหล่านี้ได้ง่ายมาก จึงควรรักษาความสะอาดร่างกาย รวมทั้งอาบน้ำบ่อย ๆ ใส่เสื้อผ้าที่ไม่หนาจนเกินไป

 8. โรคเครียด หงุดหงิด ปวดศีรษะ อาจดูเป็นเรื่องธรรมดาที่คิดว่าเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ปัจจัยด้านอากาศที่ร้อนขึ้น อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หงุดหงิด นอนไม่หลับ ฉุนเฉียว โมโหได้ง่ายขึ้น วิธีแก้ปัญหาควรแก้ที่ต้นเหตุ เช่น เลี่ยงอากาศที่ร้อนอบอ้าว อาบน้ำบ่อยขึ้น ประแป้งเย็น ทำจิตใจให้สบาย ใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศ หางานอดิเรกทำ ฝึกจิตใจและสมาธิ ใจเย็น ค่อยพูดค่อยจา แต่หากเป็นมากควรไปปรึกษาแพทย์

 





9. เป็นลมจากอากาศร้อน (โรคฮีท สโตรค) เป็นโรคที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว ปัจจุบันพบว่ามีอุบัติการณ์เพิ่มมากขึ้น เกิดจากการที่ร่างกายอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนจัด อบอ้าว อากาศถ่ายเทไม่ดี นอกจากนี้ ยังพบว่า การดื่มน้ำน้อยก็มีโอกาสเป็นลมจากอากาศร้อนได้มากขึ้น เพราะเส้นเลือดส่วนปลายขยายตัวมากในสภาวะอากาศภายนอกที่ร้อนจัด ทำให้ความดันโลหิตต่ำลง เกิดอาการวิงเวียน หน้ามืด เป็นลม





10.โรคพิษสุนัขบ้า หรือ โรคกลัวน้ำ มักเกิดจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นพาหะนำโรคมาสู่คน ส่วนใหญ่พบในสุนัข แมว ติดต่อได้ทั้งการโดนกัด หรือถูกเลียบริเวณที่มีแผลถลอก หรือ น้ำลายสัตว์ที่มีเชื้อเข้าตา ปาก จมูก หากถูกกัดให้รีบล้างแผลด้วยสบู่หรือน้ำสะอาดหลายๆครั้ง แล้วรีบไปพบแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำและฉีดวัคซีนป้องกัน ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะมีอาการภายใน 15-60 วัน บางรายอาจนานเป็นปี โรคพิษสุนัขบ้ายังไม่มียารักษาทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตทุกรายภายใน 2-7 วัน หลังแสดงอาการ จึงต้องรีบให้วัคซีนทันทีเมื่อได้รับเชื้อ และแจ้งให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทราบทันที เพื่อเข้าควบคุมโรคในพื้นที่




ข้อแนะนำในการปฏิบัติตัวสำหรับหน้าร้อนนี้ 

- ทานอาหารและน้ำที่สุกสะอาด อาหารไม่บูดเสียสภาพก่อนนำมาปรุง อาหารที่ต้องการความสด เช่น อาหารทะเล ควรระมัดระวังการปนเปื้อนน้ำยาฟอร์มาลิน หากไม่แน่ใจไม่ควรซื้อมารับประทาน งดเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ทุกประเภท เพราะยิ่งอากาศร้อนมาก การดูดซึมแอลกอฮอล์จะสูง ร่างกายจะสามารถซึมผ่านแอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือดได้รวดเร็ว ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน จนปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูงขึ้น ปัสสาวะบ่อย ขาดน้ำ และน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำได้
- หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำ 6-8 แก้วต่อวัน หากอากาศร้อนจัด อาจอาบน้ำบ่อยขึ้น ปรับสภาพบ้านให้เหมาะกับฤดู เช่น เปิดหน้าต่าง ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา ฝึกสมาธิ หางานอดิเรกทำ ก็จะช่วยลดความเครียดและหงุดหงิดลงได้ หากเลี้ยงสัตว์ควรพาไปรับวัคซีน เพื่อลดความเสี่ยงของตนเองและผู้อื่น
- เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่ให้เหมาะสม เช่น ผ้าฝ้ายที่ระบายความร้อนได้ดี สีอ่อน โทนเย็น ๆ ช่วยให้จิตใจสบาย หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแดด อากาศร้อนจัด หากจำเป็นต้องออกจากบ้าน ควรสวมหมวก สภาพอากาศร้อน ๆ แบบนี้..อย่าปล่อยให้กายและใจร้อนตาม หมั่นฝึกจิต ทำสมาธิ ดูแลสุขภาพ ก็จะช่วยคลายร้อนได้มากเลยทีเดียว

ข้อมูลอ้างอิงจาก นพ.ศักดา อาจองค์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และ
สหรัถ กังแฮ , สิริพิชญ์ อุปแก้ว

วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

แบบทดสอบบุคลิกภาพในตัวคุณ




เมื่อเลือกได้แล้ว เลื่อนลงไปดูวิเคราะห์กันเล้ย......


แบบที่ 1 คุณคือผู้นิยมความสมบูรณ์แบบ
 
บุคลิกภาพทั่วไป

- คุณเป็นคนที่มีระเบียบเรียบร้อย ทำสิ่งต่างๆได้ดีที่สุดเมื่อมีเวลาที่จะวางแผนและจัดระบบ

- คุณไม่ชอบข้อผิดพลาด และมักหลีกเลี่ยงมันได้เสมอเมื่อได้ทำสิ่งใดด้วยวิธีของคุณเอง คุณรอบคอบเสมอ


บุคลิกภาพด้านสว่างของคุณ

- คุณเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจและประสบความสำเร็จ และคิดว่าสมควรแล้วกับสิ่งที่คุณได้รับจากการทำงานหนัก

- คุณตั้งมาตรฐานให้กับตัวเองไว้สูง และเพียงแค่มีคุณเข้าร่วมหรือเกี่ยวข้องกับที่ไหน ที่นั่นก็มักจะมีอะไรที่ดีขึ้นเสมอ


บุคลิกภาพด้านมืดของคุณ

- คุณมักรู้สึกผิดหวังได้ง่ายทั้งกับตัวเองและคนอื่น เพราะคุณมีความคาดหวังในตัวเองและคนอื่นสูง

- หลายครั้ง คุณรู้สึกถึงภาระที่หนักหน่วงจากสิ่งที่คุณคาดหวัง คุณควรจะมีเวลาสนุกสนานมากกว่านี้สักนิด



แบบที่ 2 คุณคือผู้มีน้ำใจ

บุคลิกภาพทั่วไป

- คุณเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ช่างอ่อนไหวกับความต้องการของคนอื่นและพร้อมที่จะช่วยเมื่อทำได้

- การเปิดใจและเปิดบ้านต้อนรับเป็นสิ่งที่คุณชอบ คุณชอบที่จะใช้เวลาสนุกสนานกับเพื่อนๆและครอบครัว

บุคลิกภาพด้านสว่าง

- คุณพบว่ามันง่ายที่จะมีความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ คุณมักเข้ากับคนได้ง่ายเสมอ

- คุณเป็นคนที่ง่ายๆ และมีอารมณ์ขัน คุณทำให้ทุกวันนั้นเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและอบอุ่น

บุคลิกภาพด้านมืด

- บางครั้งคุณให้ผู้อื่นจนมากเกินไป สำหรับคุณ มันยาก ที่จะพูดว่า "ไม่" แม้ว่าคุณจะแทบไม่เหลืออะไรแล้ว

- และคุณจะรู้สึกเหือดแห้งหลังจากให้ความช่วยเหลือและความเอาใจใส่ใครๆ อย่างเต็มที่แต่พวกเขากลับไม่เห็นค่าเลย


แบบที่ 3 คุณคือผู้ประสบความสำเร็จ

บุคลิกภาพทั่วไป

- คุณเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีและมีพลัง คุณพร้อมที่จะถลกแขนเสื้อและทำงานให้สำเร็จ

- ด้วยความมั่นใจในตัวเอง คุณยึดเอาเป้าหมายเป็นที่ตั้ง และชอบความท้าทาย

บุคลิกภาพด้านสว่าง

- คุณเป็นคนยืดหยุ่นและอดทน มักฟื้นตัวได้อย่างสวยงามจากสิ่งใดก็ตามที่มาทำให้คุณแย่ และดำเนินชีวิตต่อไปได้ทันที

- คุณเป็นคนที่มีทักษะและมีอารมณ์อันมั่นคง สามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง หรือสร้างแรงจูงใจให้กับทีมทั้งทีมเมื่อพบจังหวะเหมาะ

บุคลิกภาพด้านมืด

- คุณจะรู้สึกท้อแท้ เมื่อไม่สามารถทำสิ่งใด หรือขาดประสิทธิภาพ และไม่ชอบเห็นใครเข้ามายุ่งกับเส้นทางของคุณ

- แทนที่จะมองว่าคุณประสบความสำเร็จอะไรแล้วบ้าง คุณอาจกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายจากการเปรียบเทียบความสำเร็จของตัวเองกับคนอื่น


แบบที่ 4 คุณคือผู้หยั่งรู้

บุคลิกภาพทั่วไป

- คุณคือผู้ที่มีความหยั่งรู้และอ่อนไหว คุณมักจับความรู้สึกของคนอื่นได้ ในขณะที่พวกเขาไม่ยอมรับว่ารู้สึกแบบนั้น

- คุณมักรู้สึกได้ก่อนที่จะคิด อารมณ์ของคุณมีกดูเหมือนเกิดขึ้นอย่างไม่มีที่มา แต่จากนั้นความคิดของคุณจึงจะตามมา

บุคลิกภาพด้านสว่าง

- คุณเข้าใจโลกนี้ในระดับที่ลึก และได้พบกับความหมายและเป้าหมายของชีวิต

- คุณเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์สูงและสื่อสารออกมาได้ดี คุณมีวิธีสอดแทรกถึงสิ่งที่ต้องการได้โดยคนอื่นไม่ทันสังเกต

บุคลิกภาพด้านมืด

- คุณมักหงุดหงิดอย่างไม่รู้สาเหตุ และหลายคร้ังอยู่ดีๆคุณก็รู้สึกแย่

- คุณมีอารมณ์ด้านลบหลายรูปแบบ เพราะมันมาจากความรู้สึกของคุณที่มาไวกว่าความคิดนั่นเอง


แบบที่ 5 คุณคือผู้ใฝ่รู้

บุคลิกภาพทั่วไป

- คุณเป็นคนที่กระหายในความรู้ แม้ว่าคุณยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับความรู้นั้น คุณก็ยังรักที่จะเรียนรู้

- ด้วยความอยากรู้อยากเห็น และ มักเปิดรับสิ่งต่างๆ คุณจึงมักได้รับความรู้หลายด้าน และสิ่งนี้จะนำคุณไปสู่สติปัญญา

บุคลิกภาพด้านสว่าง

- คุณมีเหตุผล และ บังคับอารมณ์ได้ดี คุณเข้าใจในสิ่งต่างๆได้อย่างสมเหตุสมผล จึงไม่อารมณ์เสียง่ายๆ

- คุณจะไม่วิ่งไปตามกระแสอะไร ไม่ว่าจะเป็น ฐานะของคน หรือสิ่งของต่างๆรอบกาย ก็ไม่มีความสำคัญต่อคุณเท่าไหร่

บุคลิกภาพด้านมืด

- คุณรู้สึกแปลกแยกจากโลกนี้ และไม่ค่อยจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นได้มากอย่างที่ต้องการ

- เวลาที่คุยกับคนอื่น คุณกลัวว่าจะกลายเป็นคนที่ "ทำเป็นรู้ดี" แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะคุณรู้เยอะจริงๆ


แบบที่ 6 คุณคือนักตั้งคำถาม

บุคลิกภาพทั่วไป

- คุณเป็นคนที่มักตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆรอบตัว และจะไม่เชื่ออะไรง่ายๆ

- คุณเชื่อมั่นที่จะทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง และต่อให้คุณอาจจะเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่ในกรอบ แต่คุณจะยึดถือคุณธรรมอย่างมาก

บุคลิกภาพด้านสว่าง

- คุณเป็นคนรักษาสัญญา และ เมตตาอารี คุณจึงเป็นเพื่อน เป็นคนรัก เป็นผู้ร่วมงานที่ดีเยี่ยม

- คุณจะยืนกรานในสิ่งที่คุณคิดว่าถูกต้อง แม้ว่ามันจะตรงหรือไม่ตรงกับความคิดของคนส่วนมากก็ตาม

บุคลิกภาพด้านมืด

- คุณจะขี้วิตก กังวล เป็นการยากที่คุณจะปล่อยให้ความกังวลต่างๆผ่านพ้นไปได้

- บางครั้งคุณก็บังคับตัวเองมากไป จนหมดแรง จำไว้ว่า คุณปล่อยสิ่งต่างๆให้มันเป็นไปบ้างก็ได้!


แบบที่ 7 คุณคือนักผจญภัย


บุคลิกภาพทั่วไป

- นอกจากจะรักการผจญภัย คุณยังชอบค้นหาความแปลกใหม่ คุณชอบที่จะค้นพบสิ่งใหม่ของโลกและชีวิต

- คุณไม่มีความกลัวและมุ่งมั่นที่จะแสวงหาความสุข อะไรที่น่าเบื่อไม่เคยเป็นทางเลือกสำหรับคุณ

บุคลิกภาพด้านสว่าง

- คุณเป็นคนที่ไม่ถูกผูกมัดด้วยอะไร และดำเนินชีวิตไปตามธรรมชาติ คุณจะพยายายามทำสิ่งที่ดีที่สุดในเวลานั้นๆ

- คุณเป็นคนมีวิสัยทัศน์ มักคิดหรือทำการใหญ่ และพยายามที่จะพัฒนาโลกนี้ให้ดีขึ้น ในแบบที่คุณคิด

บุคลิกภาพด้านมืด

- ถ้ามีใครมาทำให้คุณต้องเสียเวลา คุณจะขุ่นเคืองใจพวกเขาและรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ต้องเร่งรีบ ในขณะที่คิดว่าเวลายิ่งมีน้อยอยู่

- นั่นเพราะคุณกลัวว่าจะมีเวลาไม่พอที่จะทำสิ่งต่างๆทั้งหมดที่ต้องการ และคุณก็จะไม่เสียเวลาไปกับการรับผิดชอบหรือสิ่งบันเทิงที่คิดว่าไม่จำเป็น


แบบที่ 8 คุณคือคนจริง

บุคลิกภาพทั่วไป

- คุณเป็นคนตรงและซื่อสัตย์ คุณไม่ลังเลในการเรียกร้องถึงสิ่งที่คุณต้องการในชีวิต

- คุณพึ่งพาตัวเองและมีความมั่นใจ และเชื่อว่าคุณมีสิทธิเท่าเทียมกับคนอื่น จึงไม่ยอมถูกใครสั่งให้ทำอะไรได้ง่ายๆ

บุคลิกภาพด้านสว่าง

- คุณเป็นคนที่พึ่งพาตัวเอง และมีอำนาจในตัวเอง คุณสนุกกับชีวิตมากเท่าที่ต้องการ ในแบบของคุณ

- คุณเป็นคนกล้าหาญอย่างมาก และพร้อมที่จะทุ่มเทเสี่ยง เพราะคุณเชื่อมั่นในการตัดสินใจของคุณ

บุคลิกภาพด้านมืด

- คุณเป็นคนที่ขวานผ่าซากต่อคนอื่นอย่างมาก และไม่รู้วิธีอื่นใดนอกจากการพูดความจริง

- เพราะมีความยุติธรรมอย่างยิ่งยวดอยู่ในใจ คุณจึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องลำบากที่จะยกโทษให้ตัวเอง เวลาทีทำอะไรผิด


แบบที่ 9 คุณคือผู้รักความสงบ

บุคลิกภาพทั่วไป

- ธรรมชาติของคุณเป็นคนที่มีจิตใจดี และให้ความร่วมมือกับคนอื่น คุณมองหาความสมดุลราบรื่นของโลกรอบตัว

- คุณยินดีเสมอที่จะประนีประนอม เพื่อที่จะเข้ากันได้ดีกับคนอื่นๆ และคุณไม่มีปัญหาเรื่อง "อีโก้" เลย

บุคลิกภาพด้านสว่าง

- คุณเป็นคนที่ยอมรับคนอื่นอย่างที่เขาเป็น และ ไม่ตัดสินใคร คุณเป็นเพื่อนได้กับทุกคน และชอบคนอื่นอย่างจริงใจ

- คนอื่นๆจะสบายใจที่อยู่กับคุณ และเพื่อที่จะให้ทุกสิ่งราบรื่น คุณไม่คิดมากเลยถ้าจะต้องให้คนอื่นรับตำแหน่งอะไรแทนคุณ

บุคลิกภาพด้านมืด

- คุณเป็นคนขี้ลังเล มักมีปัญหาในการเลือก เพราะต้องดูว่ามันจะส่งผลกระทบอะไรต่อคนอื่นไหม

- ความจริงใจของคุณอาจเป็นจุดอ่อนให้ถูกโน้มน้าวหลอกล่อได้ คุณจึงไม่ควรยอมให้คำพูดคนอื่นมามีอิทธิพลกับคุณมากเกินไป

ที่มา : http://www.chillpainai.com/scoop/1042)

วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2557

วิธีลดความเครียดในการทำงาน




  1. คงต้องออกกำลังกายเพื่อระบายฮอร์โมนแห่งความเครียดออกไปให้หมด จะ เป็นการออกกำลังกายระหว่างการทำงาน เช่น การเดินขึ้นลงบันได หรือจะเป็นการเล่นกีฬา หรือทำงาน บ้านในตอนเย็นหลังเลิกงาน หรือในวันหยุดก็ได้ การออกกำลังกายจนได้เหงื่อจะกระตุ้นให้ ร่างกายหลั่ง ฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา ช่วยให้ร่างกายและจิตใจสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
  2. คือต้องพักผ่อนให้พอ ไม่จำเป็นอย่าเอางานกลับไปทำที่บ้าน ต้องรู้จัก บริหารเวลา เพื่อจะได้มีเวลาพักผ่อนส่วนตัวและมีเวลาให้ครอบครัวด้วย อย่าลืมว่าเครื่องจักรยังต้องมีเวลา หยุดพัก และซ่อมบำรุง คุณเองก็เช่นกันต้องมีเวลาพักผ่อนบ้างเพื่อจะได้มีพลังสำหรับการทำงานในวันต่อไป
  3. คือการพูดคุยปรึกษาปัญหาที่คุณหนักใจกับคนใกล้ชิด แม้บางครั้งเขาอาจ ช่วยคุณแก้ปัญหาไม่ได้ แต่การได้พูดสิ่งที่อัดอั้นในใจออกไป และได้คำปลอบประโลมกลับมา คุณจะรู้สึก ดีขึ้น สบายใจขึ้น และเมื่อใจสบาย สมองปลอดโปร่ง ก็อาจคิดแก้ปัญหาได้ในเวลาต่อมา
  4. คือการรู้จักปรับเปลี่ยนความคิด อย่าเอาแต่วิตกกังวลให้มากเกินไป ลองคิดใน หลายๆ แง่มุม คิดในสิ่งดีๆ คิดอย่างมีความหวังบ้าง และอย่าคิดหมกมุ่น แต่ปัญหาของตัวเอง คิดถึงคนอื่น บ้าง ยังมีคนลำบากกว่าคุณอีกมาก จะได้มีกำลังใจต่อสู้ปัญหาต่อไป
  5.  คือการฝึกเทคนิคคลายเครียด เช่น การหายใจเข้าลึกๆ ให้ท้องพองออก และ หายใจออกช้าๆ ให้ท้องแฟบลง จะช่วยชะลอความโกรธ คลายความกังวล ลดความกลัว และความตื่น เต้นลงได้ นอกจากนี้ควรฝึกสมาธิเพื่อสงบจิตใจ โดยมีสติอยู่กับลมหายใจเข้าออก จะช่วยคลายเครียดได้เป็น อย่างดี

    ที่มา : สสส.

วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

คำถามที่พบบ่อย เรื่องมะเร็งเต้านม

         


1. ผู้หญิงอายุเท่าไหร่จึงควรจะเริ่มทำแมมโมแกรม (Mammogram)
ตอบ แนะนำว่าให้เริ่มทำเมื่ออายุ 35 ปี และทำอีกทุก 2-3 ปี จนเมื่ออายุ 40 ปี แล้วให้ ทำทุกปี และอายุ 50 ปีขึ้นไป ให้ทำทุก 1-2 ปี เพราะจากสถิติผู้ป่วยมะเร็งเต้านม เริ่มพบ มากตั้งแต่อายุ 35 ปีขึ้นไป
2. อาการเจ็บเต้านม เกิดจากมะเร็งเต้านมใช่หรือไม่
ตอบ มะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้นไม่มีอาการเจ็บ แต่แนะนำให้พบแพทย์ถ้ามีอาการเจ็บเต้านม โดยเฉพาะคลำก้อนได้
3. การใส่เสื้อยกทรงที่มีขอบโลหะเสริมจะทำให้เกิดมะเร็งเต้านมหรือไม่
ตอบ ไม่เกี่ยวข้องกัน ในสหรัฐอเมริกาก็มีการยืนยันเรื่องนี้เช่นกัน
4. ถ้ามีก้อนเนื้อเล็กๆ ที่เต้านม แพทย์ตรวจแล้วบอกว่าเป็นก้อนเนื้องอก ชนิดธรรมดา ควรทำอย่างไร
ตอบ ถ้าได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทาง การแพทย์แล้วก็ให้เชื่อตามนั้น แต่ต้องตรวจด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ ถ้าพบความ เปลี่ยนแปลงต้องพบแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยโดยละเอียดอีกครั้ง
5. ถ้าผ่าตัดเต้านมจากการเป็นมะเร็งเต้านมไปแล้วข้างหนึ่ง จะมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมอีกข้างหนึ่งหรือไม่
ตอบ มีโอกาสเป็นได้ จึงควรทำการตรวจเต้านมด้วยตนเอง ทุกเดือน และตรวจด้วย Mammogram เป็นประจำทุกปี
6. ผู้หญิงที่ถูกสามีจับเต้านมบ่อยๆ จะทำให้เกิดมะเร็งเต้านมหรือไม่
ตอบ การถูกจับบ่อยๆ หรือมีการเจ็บหรือถูกกระแทกอย่างแรง ไม่ทำให้เกิดมะเร็งเต้านม
7. การมีนํ้าหรือของเหลวไหลออกจากหัวนมเป็นอาการอย่างหนึ่งของมะเร็งเต้านมหรือไม่
ตอบ อาจใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ แต่ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
8. ทานยาคุมกำเนิดชนิดหนึ่งแล้วเปลี่ยนเป็นอีกชนิดหนึ่ง การเปลี่ยนชนิด ของยาคุมกำเนิด ทำให้เกิดมะเร็งเต้านมหรือไม่
ตอบ ขึ้นอยู่กับชนิดของยาและระยะเวลาที่กิน แต่ถ้าเป็นมะเร็งเต้านมอยู่แล้ว อาจทำให้โต เร็วขึ้น
9. อาการคันหัวนมเกิดจากสาเหตุอะไร
ตอบ อาการคันหัวนมเป็นสาเหตุหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อ การแพ้หรืออาจจะเกิดจากมะเร็ง ได้ด้วย ในกรณีหัวนมเปลี่ยนสี และมีแผลร่วมด้วยให้รีบปรึกษาแพทย
10. มะเร็งเต้านมพบในหญิงอายุน้อยที่สุด และอายุมากที่สุดเท่าไร
ตอบ พบในผู้หญิงอายุน้อยที่สุด 15 ปี (เท่าาที่พบจากรายงาน) และพบในหญิงอายุมากที่สุด 90 ปี
11. มะเร็งเต้านมพบได้มากในช่วงอายุเท่าไร
ตอบ จากสถิติของศูนย์ถันยรักษ์จะพบมากในช่วงอายุ 40-49 ปี = 41% อายุต่ำกว่า 39 ปี มี 18.6%
12. การบีบเต้านมขณะที่เอกซเรย์เต้านม (Mammogram) จะทำให้ก้อนที่มีอยู่ในเต้านมนั้น แตกหรือไม่
ตอบ ไม่แตก มีบทความงานวิจัยจากต่างประเทศยืนยันได้
13. อาการของมะเร็งเต้านมในระยะแรกมีอาการอย่างไรบ้าง
ตอบ ระยะแรกไม่มีอาการ คลำก้อนไม่ได้ หากคลำก้อนได้ ถ้าตรวจแล้วเป็นมะเร็งจริง
แสดงว่าเป็นมาประมาณ 2-3 ปีแล้ว
14. ถ้าคลำพบก้อนในเต้านมและแพทย์บอกว่าเป็นถุงนํ้า ถ้าไม่เจาะเอานํ้าออกจะมีอันตรายหรือไม่
ตอบ ถ้าเป็นถุงนํ้าไม่ต้องทำอะไร แต่จะเจาะเอานํ้าออกในกรณีที่รู้สึกเจ็บหรือผู้มาตรวจรำคาญ
15. หินปูนที่พบในเต้านมเกิดจากการรับประทานอาหาร หรือยาที่มีแคลเซียมมากเกินไปใช่หรือไม่
ตอบ หินปูนไม่เกี่ยวกับการรับประทานอาหาร แต่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเนื้อใน เต้านมเอง
16. ถ้าเป็นมะเร็งเต้านมการรักษาต้องตัดเต้านมออกหมดเสมอไปหรือไม่
ตอบ ไม่จำเป็นต้องตัดเต้านมออกหมด ถ้าพบมะเร็งที่ขนาดเล็ก หรือคลำไม่ได้ (ซึ่งพบได้ โดยตรวจ Mammogram เท่านั้น) ก็ตัดเฉพาะก้อนเนื้อร้ายออก ถ้ายังไม่กระจายไปต่อมนํ้าเหลือง ก็ไม่ต้องรักษาอะไรเพิ่ม ทั้งนี้แพทย์จะดำเนินการตามขั้นตอน

ขอบคุณเนื้อหาจาก
คู่มือการอบรมอาสาสมัครสาธารณสุข
ในการดูแลและเฝ้าระวังสตรีไทยจากมะเร็งเต้านม

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

โรคขาดสารไอโอดีน


สารไอโอดีนคืออะไร
      สารไอโอดีน เป็นธาตุเคมีที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติแต่ไม่สม่ำเสมอ และมีมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ พบมากในดินและแถบที่ราบลุ่มแม่น้ำ ชายทะเล และทะเลซึ่งเป็นผลให้พืชผักและสัตว์จากทะเลมีสารไอโอดีนมากด้วย
ประโยชน์ของสารไอโอดีน
      สารไอโอดีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ใช้ในการสร้างฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ ซึ่งฮอร์โมนนี้จะเข้าสู่กระแสเลือดทำหน้าที่ควบคุมอวัยวะต่างของร่างกายให้ดำเนินไปอย่างปกติ โดยกระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกายโดยเฉพาะระบบสมองและประสาท นอกจากนี้ยังมีผลต่อการสร้างโปรตีนของกล้ามเนื้อของร่างกาย และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงและเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมันและวิตามินอีกด้วย
ความต้องการสารไอโอดีน
  • ในคนปกติต้องการประมาณวันละ 150-200 ไมโครกรัม
  • หญิงตั้งครรภ์หญิงให้นมบุตร ต้องการประมาณวันละ 175-200 ไมโครกรัม
  • เด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือนต้องการวันละ 40-90 ไมโครกรัม
แหล่งอาหารที่มีสารไอโอดีน
ที่เหมาะสมที่สุดคือ อาหารที่มาจากทะเลทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ เช่น

  • ปลาทะเล 100 กรัม มีสารไอโอดีนประมาณ 50 ไมโครกรัม
  • สาหร่ายทะเล 100 กรัม มีสารไอโอดีนประมาณ 200 ไมโครกรัม

  • โรคขาดสารไอโอดีน
         โรคขาดสารไอโอดีน หมายถึงภาวะร่างกายได้รับสารไอโอดีนไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายเป็นประจำ ซึ่งมีผลต่อการสร้างธัยรอยด์ฮอร์โมนทำให้เกิดการเสียสมดุลย์ในการควบคุมการทำงานของต่อมไทรอยด์
    ผลกระทบจากการขาดสารไอโอดีน
    1. คอพอก (Goitre) ถ้าโตมากๆจะไม่สวย กดหลอดลมทำให้หายใจลำบาก ไอ สำลักถ้ากดหลอดอาหารจะกลืนลำบาก
    2. ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมน ต่ำ (Hypothyroidism) ร่างกายมีธัยรอยด์ฮอร์โมนไม่เพียงพอ ทำให้มีอัตราการเผาผลาญอาหารลดลง การนำสารอาหารไปใช้ในการเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายไม่เต็มที่ ทำให้การเจริญเติบโตของร่างกายหยุดชะงักหรือเติบโตช้าได้
      - ในผู้ใหญ่มีอาการเกียจคร้าน อ่อนเพลีย เชื่องช้า ง่วงซึม ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ผิวหนังแห้ง ท้องผูก เสียงแหบ ทนความหนาวเย็นไม่ค่อยได้
      - ในเด็กนอกจากอาการที่กล่าวมาแล้ว ยังพบอาการเชื่องช้าทาจิตใจและเชาว์ปัญญาด้วย
      - ในทารกแรกเกิด มีความสำคัญ และรุนแรงมาก จะมีอาการทางสมองทำให้เกิดภาวะปัญญาอ่อน ไม่สามารถแก้ไขได้เรียกว่า "ภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำในทารกแรกเกิด"
    3. โรคเอ๋อ หรือ คริตินนิซึม (Critinnism) แม่ที่ขาดไอโอดีนในระหว่างตั้งครรภ์ ลูกที่ออกมาจะมีภาวะธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำตั้งแต่แรกเิกิด ถ้าแม่มีการขาดไอโอดีน รุนแรงอาจทำให้ทารกตายได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์หรือพิการแต่กำเนิด แม่ที่ได้รับสารไอโอดีนน้อยกว่า 20 ไมโครกรัมต่อวันจะพบว่าทารกที่คลอดออกมาเป็นโรค "เอ๋อ" ซึ่งจะแสดงอาการผิดปกติทางร่างกายติดต่อไปจนเป็นผู้ใหญ่มี 2 ลักษณะ
      1. มีความผิดปกติทางระบบประสาทเด่นชัด (Neurological cretinnism) จะมีสติปัญญาต่ำรุนแรง  หูหนวกเป็นใบ ท่าเดินผิดปกติ ตาเหล่ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
      2. เตี้ยแคระแกรน (Myxedematous) เจริญเติบโตช้า สติปัญญาต่ำมากผิวหนังแห้งหนา บวม กดไม่บุ๋ม เคลื่อนไหวช้า หูไม่หนวก ไม่เป็นใบ้ โดยทั่วไปต่อมธัยรอยด์ไม่โต
      ผลกระทบจากการขาดสารไอโอดีนในร่างกาย อาจจะไม่ได้เกิดอาการ ครบหมดทุกอย่าง อย่างไรก็ตามในพื้นที่ที่มีการขาดรุนแรงกว้างขวาง จะพบเห็นผู้ที่มีอาการผิดปกติจำนวนมาก

    คำแนะนำในการรับประทานไอโอดีน
    • ไอโอดีน ในรูปของอาหารเสริม โดยทั่วไปมักพบได้ในรูปของ วิตามินรวมและแร่ธาตุรวม โดยจะมีปริมาณประมาณ 150 ไมโครกรัม โดยสาหร่ายธรรมชาติเป็นแหล่งของไอโอดีนเสริมอาหารที่ดีที่สุด
    • ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่คือ 150 ไมโครกรัม และสำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรประมาณ 175 – 200 ไมโครกรัม
    • การรับประทานไอโอดีนวันละ 50 ไมโครกรัม ก็สามารถช่วยป้องกันโรคคอพอได้แล้ว
    • สำหรับผู้ที่รับประทานกะหล่ำปลีดิบในปริมาณมาก สารบางอย่างในกะหล่ำปลีดิบอาจทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุไอโอดีนได้ ดังนั้น ควรหาอาหารเสริมที่อยู่ในรูปของวิตามินรวมและแร่ธาตุรวมมารับประทานเสริม
    • สำหรับผู้ที่รับประทานวิตามินรวมและแร่ธาตุรวมเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ควรรับประทานไอโอดีนเสริมในรูปแบบอื่นๆอีก
    • สำหรับผู้ที่รับประทานอาหารทะเลเป็นประจำอยู่แล้ว ก็ไม่ควรรับประทานไอโอดีนเสริมอีก
    • สำหรับหญิงตั้งครรภ์ควรได้รับไอโอดีนอย่างเพียงพอ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพิการหรือปัญญาอ่อนของทารกในครรภ์
    • สำหรับทารกแรกเกิดก็ควรได้รับไอโอดีนอย่างเพียงพอเช่นกัน เพราะจะช่วยให้เด็กมีความเฉลียวฉลาด และช่วยในการเจริญเติบโตของทารกแรกเกิด
    • เนื่องจากไอโอดีนมีความสำคัญมากกับทุกเพศทุกวัย ก็ควรจะได้รับอย่างเพียงพอ
    • เด็กในวัยเจริญเติบโต หากขาดไอโอดีนระดับไอคิวอาจต่ำลงหรือบกพร่องได้
    ประโยชน์ของไอโอดีน
    1. ช่วยพัฒนาสมองควบคุมระบบประสาท ทำให้ความคิดความอ่านไวขึ้น
    2. ช่วยในการควบคุมน้ำหนักตัว โดยการเผลาผลาญไขมันส่วนเกิน
    3. ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกาย
    4. ช่วยทำให้ร่างกายมีพลังงาน เพิ่มความกระตือรือร้นได้
    5. ช่วยบำรุงสุขภาพเส้ยผม เล็บ ผิวพรรณ และฟัน ให้มีความแข็งแรง
    6. ช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจให้ดีขึ้น
    7. ช่วยกระตุ้นให้มีการหลั่งน้ำนมของมารดาให้มากขึ้น
    8. ช่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ ควบคุมการกระจายตัวของน้ำตามร่างกาย
    9. ป้องกันไม่ให้เด็กพิการ หญิงแท้งบุตรง่าย และอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย

    แหล่งอ้างอิง : หนังสือวิตามินไบเบิล (ดร.เอิร์ล มินเดลล์)
    สรุปอาการแสดงของโรคขาดสารไอโอดีน ตลอดช่วงชีวิตมนุษย์
     ระยะของชีวิตอาการแสดงทางคลินิคและผลกระทบที่เกิดขึ้น
     ตัวอ่อนในครรภ์แท้ง หรือ ตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์ / เพิ่มอัตราป่วยและอัตราตายในทารกช่วงอายุ 28 สัปดาห์ในครรภ์ จนถึง 28 วันแรกหลังคลอด / ปัญญาอ่อนอย่างถาวร (โรคเอ๋อ) / เชาว์ปัญญาลดลง สูญเสียการได้ยิน และมีความผิดปกติทางระบบประสาทและการเคลื่อนไหว
     
      ทารกแรกเกิด - 2 ปี คอพอก / ไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ / เชาว์ปัญญาลดลง สูญเสียการได้ยิน และมีความผิดปกติทางระบบประสาทและการเคลื่อนไหว
        เด็กคอพอก / ไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ / ตัวเตี้ย แคระแกร็น สติปัญญาพัฒนาเชื่องช้า
        ผู้ใหญ่คอพอก / ไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำและมีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จากที่มีไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ มีอาการเกียจคร้าน เชื่องช้า ง่วงซึม ผิวหนังแห้ง ทนความหนาวเย็นไม่ค่อยได้ เสียงแหบ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ท้องผูก

    วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

    5 สัญญาณอันตราย โรคหลอดเลือดสมอง


    การเกิดภาวะสมองขาดเลือด

    ภาวะสมองขาดเลือดที่มีเนื้อสมองตาย มักเกิดจากการขาดเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยง โดยทั่วไปเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดแดงในสมองหรือหลอดเลือดแดงคาโรติด (Carotid) ซึ่งเป็นหลอดเลือดแดงบริเวณคอที่นำเลือดไปเลี้ยงสมอง ภาวะสมองขาดเลือดมักเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic Stroke) หรือภาวะหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) ซึ่งเกิดจากการที่ผนังหลอดเลือดแตกทำให้มีเลือดคั่งในเนื้อสมอง ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยมักมีอาการของภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราวนำมาก่อน ลักษณะดังกล่าวมักเป็นเวลาสั้นๆ เกิดขึ้นเมื่อเลือดและออกซิเจนไหลเวียนลดลงชั่วคราว ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราวหรือเรียกว่า ‘TIA’ มีอาการเกิดขึ้นตั้งแต่ 2-3 นาทีถึงเป็นชั่วโมง เป็นสัญญาณเตือนบอกถึงความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองขาดเลือดเพิ่มขึ้นในอนาคต 
     
    ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง มีดังนี้
    โรคความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด
    โรคเบาหวาน คือ ภาวะที่น้ำตาลในเลือดในช่วงที่งดอาหารสูงมากกว่า 120 มิลลิกรัม/เดซิลิตร จะมีความเสี่ยงต่อหลอดเลือดตีบมากขึ้น
    ระดับไขมันในเลือดสูง ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว มีการตีบแคบลงในที่สุด ทำให้เกิดการอุดตันได้ 
    โรคหัวใจ เช่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคเกี่ยวกับลิ้นหัวใจ 
    การสูบบุหรี่และดื่มสุรา
    ขาดการออกกำลังกายจะเพิ่มความเสี่ยงของของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน 
    ความอ้วน ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก มีโอกาสเป็นเบาหวานและความดันโลหิตสูงหรืออาจเป็นได้ทั้ง 2 โรค
    อายุ โรคหลอดเลือดสมองมักพบในคนอายุมากกว่า 65 ปี แต่คนที่อายุน้อยกว่านี้ก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ 
    ประวัติในครอบครัว ถ้าบุคคลในครอบครัวของคุณเป็นโรคหลอดเลือดสมองมาก่อน จะเพิ่มความเสี่ยงให้คุณมากขึ้น
    ความเครียด
     
    MOM14
    5 สัญญาณอันตราย
    โรคอัมพาตมักจะมีอาการเตือนก่อนที่จะเกิดโรค โปรดจำไว้หากท่านมีอาการอันใดอันหนึ่ง แม้ว่าขณะนี้ท่านจะสบายดีควรปรึกษาแพทย์ อาการที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสียหายชั่วคราวที่เกิดขึ้นกับการไหลเวียนของเลือดไปสู่สมอง
    1. ตาพร่ามัวมองเห็นภาพซ้อน
    2. อาการชาครึ่งซีก หน้าชา ปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง
    3. พูดลำบาก ฟังไม่เข้าใจ
    4. วียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ        
    5. ปวดศีรษะรุนแรง
    หากมีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรนำส่งโรงพยาบาลเพื่อการตรวจและวินิจฉัย ภายใน 3 ชม.
     
     
     
    ขอขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลเอกชัย (http://www.ekachaihospital.com/ekc21web/index.php/features-2/t1-4/2-uncategorised/111-2012-07-17-02-14-56)
     

    วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

    ใจสั่น แบบไหนต้องไปหาหมอ

       
    " อาการใจสั่น "

            เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งที่หลายคนเคยเจอ บางรายหมายถึงปกติ แต่บางรายอาจถือว่าไม่ปกติก็ได้ โดยทั่วไปเรามักรู้สึกถึง การเต้นของหัวใจ ในภาวะที่หัวใจบีบตัวแรง เต้นเร็ว ในขณะออกกำลังกาย แต่ในภางะที่ไม่มีอะไรมากระตุ้นเลย ในบางคนอาจจะเกิด อาการใจสั่น จนทำให้เกิดข้อกังวลสงสัยว่า หัวใจฉันเกิดความผิดปกติหรือไม่6 ลักษณะอาการใจสั่นที่เกิดขึ้นได้

            1. อาการใจสั่นที่อาจเกิดจากความผิดปกติของการเต้นของหัวใจ หรือ โรคหัวใจ        2. อาการใจสั่นร่วมกับอาการอื่น เช่น หน้ามืด เป็นลมหมดสติ เจ็บ แน่นหน้าอก หรือเหนื่อยหอบกว่าปกติ อาจบ่งบอกถึง โรคหัวใจรุนแรงควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว        3. อาการใจสั่นที่เกิดขึ้นทันทีทันใด โดยไม่สัมผัสกับการออกแรง และสามารถหายได้เอง ผู้ป่วยมักแยกอาการแตกต่างกันขณะที่มีและไม่มี อาการใจสั่น        4. อาการใจสั่นที่เกิดร่วมกับจังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ        5. อาการใจสั่นในผู้ป่วยที่ทราบว่าเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว เช่น ผู้ป่วยที่เคยมี กล้ามเนื้อหัวใจตาย จากหลอดเลือดอุดตัน หัวใจโตล้มเหลว หัวใจผิดปกติแต่กำเนิด        6. อาการใจสั่นในผู้ป่วยที่มีประวัติ คนในครอบครัว ใกล้ชิด เป็นโรคหัวใจ โดยเฉพาะการเสียชีวิตกะทันหัน ก่อนวัยอันควร        ในบางครั้งที่หัวใจเต้นเร็วมาก อาจเกิดการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เหนื่อย หรือเวียนศีรษะ บางครั้งหัวใจเต้นเร็วจนไม่สามารถพยุงความดันโลหิต ก็จะส่งผลให้เกิดการหน้ามืด เวียนศีรษะได้ และถ้าอาการเกิดขึ้นขณะที่อยู่นิ่งๆ โดยอาการเกิดขึ้นและหยุดทันที ซึ่งไม่สามารถคาดการณ์หรือสัมพันธ์กับอาการเวียนหัว วูบ หน้ามืด มักมีสาเหตุจากวงจรไฟฟ้าเต้นผิดปกติ เพราะหากเกิดการตื่นเต้น เครียด หรือการออกกำลังกาย มักจะมีการเต้นเร็ว ค่อยๆเป็น และค่อยๆเต้นช้าลงเรื่อยๆ         ทั้งนี้ภาวะหัวใจเต้นเร็วบ่อยครั้งที่ไม่ได้เกิดจากโรคหัวใจ แต่เกิดจากความผิดปกติอื่นๆ เช่น ภาวะต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ภาวะเลือดจาง ภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ จากโรคท้องร่วงหรือเสียเลือดมาก ซึ่งเมื่อได้รับการรักษาแล้ว ภาวะหัวใจเต้นเร็ว ก็จะกลับสู่ปกติ โดยไม่ต้องใช้ยาต้านหัวใจเต้นผิดจังหวะ

    สิ่งที่กระตุ้น ที่จะทำให้เกิดภาวะใจสั่น
            - คาเฟอีน        - เครื่องดื่มแอลกอฮอล์        - ภาวะความเครียด        - การอ่อนเพลีย พักผ่อนไม่เพียงพอ        - ภาวะขาดน้ำ        - การเจ็บป่วยจากโรค เช่น ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ หรือทำงานมากเกินไป        - ยาบางชนิด

    เช็คสภาพหัวใจด้วยตัวคุณเอง
            หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่นั้น หากคุณไปพบคุณหมอในเวลาต่อมา อาการ และการเต้นผิดจังหวะของหัวใจได้หายแล้ว การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจไม่กี่วินาที อาจไม่พบความผิดปกติ ดังนั้นคุณอาจมีส่วนช่วยในการวินิจฉัย โดยการจับชีพจร และนับอัตราการเต้นของชีพจรในระยะเวลา 1 นาที และสังเกตจังหวะของชีพจรเร็วกว่าปกติหรือไม่ ชีพจรสม่ำเสมอหรือเร็วช้าไม่สม่ำเสมออย่างไร        หรือสำรวจด้วยการเช็คสมรรถภาพร่างกาย หากลดลง เช่น เหนื่อยง่าย มีอาการเจ็บหน้าอก หน้ามืดเป็นลมบ่อย หัวใจสั่นมากผิดปกติทั้งที่ไม่ได้ออกกำลังกาย มีอาการบวมในร่างกายเกิดขึ้น นอนราบไม่ได้ ต้องนอนหัวสูงเท่านั้น ในรายที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็จะเช็คสภาพหัวใจได้ง่าย แต่ในรายที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย แน่นอน วิ่งนิดหน่อย คุณก็เหนื่อยแล้ว         การดูแลรักษาในเบื้องต้น คุณหมอจะสอบถามประวัติการตรวจร่างกาย การตรวจเอ็กซเรย์เงาปอด และหัวใจ และการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อช่วยการวินิจฉัย หรือนำไปสู่การส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติมที่เหมาะสม ส่วนใครสงสัยว่า ฉันอาจมีปัญหาเรื่องหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจฉีกขาดหรือไม่นั้น แพทย์อาจส่งตรวจการเต้นของหัวใจด้วยการเดิน วิ่ง สายพานเลื่อน หรือผู้ใดที่สงสัยว่าตัวเอง มีความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจหนา หัวใจโต กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง ลิ้นหัวใจตีบ หรือผนังกั้นหัวใจรั่ว หรือโรคของ เยื่อหุ้มหัวใจ คุณหมอก็จะส่งตรวจด้วย เครื่องตรวจเสียงสะท้อนหัวใจ (Ecohocardigraphy) อีกครั้งหนึ่ง         นอกจากนี้ การรักษายังขึ้นอยู่กับผลการตรวจว่า มีหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ ถ้ามี การที่หัวใจเต้นผิดจังหวะนั้นเป็นชนิดใด และที่สำคัญมีสาเหตุจากโรคหัวใจ หรือ ความผิดปกติของอวัยวะใด การรักษาที่สำคัญ คือ รักษาที่สาเหตุ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว หากหลอดเลือดหัวใจตีบมาก อาจต้องได้รับการรักษาด้วยการ ขยายหลอดเลือดหัวใจ เช่น การทำบอลลูน หรือการถ่างหลอดเลือด ด้วยขดลวดต่อไป
    ขอขอบุณข้อมูลจาก นพ.จีระศักดิ์ สิริธัญญานันท์
    อายุรแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลพญาไท 3