วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

โรคมะเร็งเต้านม

โรคมะเร็งเต้านม
       
     โรคมะเร็งเต้านมเกิดจากเนื้อเยื่อของเต้านมมีการเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็งซึ่งอาจจะกิดเป็นมะเร็งเต้านมที่เกิดกับท่อน้ำนม หรือมะเร็งเต้านมที่เกิดกับต่อมน้ำนม มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อย ดังนั้นท่านผู้อ่านที่เป็นหญิงหรือชายควรจะตรวจเต้านมตัวเอง
 
 
 

        มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิง จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติพบผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านมร้อยละ 37 ของมะเร็งทั้งหมด และยังมีอัตราการเสียชีวิตเป็นอันดับสองรองจากมะเร็งปอด ดังนั้นการดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง และการค้นพบมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มแรกในขณะที่ก้อนมีขนาดเล็ก และก้อนมะเร็งยังอยู่เฉพาะที่เต้านม ยังไม่แพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลือง จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะ จะมีโอกาสหายขาดมากขึ้น เมื่อเทียบกับการตรวจพบก้อน มะเร็งที่มีขนาดใหญ่ หรือกระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้แล้ว โดยหากมีการตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น มีโอกาสที่จะมีชีวิตเกิน 5 ปีถึงร้อยละ 98 ถ้าตรวจเจอ ตอนก้อนมะเร็งกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้แล้ว มีโอกาสที่จะมีชีวิตเกิน 5 ปีร้อยละ 84 และถ้าตรวจเจอ ตอนมะเร็งแพร่กระจายไปแล้ว โอกาสที่จะมีชีวิตเกิน 5 ปี มีเพียงร้อยละ 23 และยังไม่แพร่กระจายจะทำให้มีโอกาศรอดชีวิตสูง ก้อนขนาดเล็กก่อนที่จะรู้เรื่องมะเร็งท่านต้องทราบ       
    





โรคมะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูกคืออะไร
มะเร็ง คือ เนื้อร้ายภายในร่างกายที่เจริญเติบโตขึ้นโดยปราศจากการควบคุม
ปากมดลูก คือ อวัยวะในร่างกายสตรี เป็นส่วนหนึ่งของมดลูก อยู่ภายในช่องคลอดมีหน้าที่ ป้องกันสิ่งแปลกปลอมภายนอกร่างกายและเป็นทางผ่านของสิ่งคัดหลั่งจากมดลูกมะเร็งปากมดลูก เป็นเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นบริเวณปากมดลูก สามารถแพร่ขยายลุกลามและกดเบียด อวัยวะใกล้เคียงมดลูกภายในอุ้งเชิงกราน และสามารถกระจายไปยัง ปอด ตับ ลำไส้ หรือสมอง ทำให้เกิดความผิดปกติของอวัยวะเหล่านั้น ตามมาได้
มะเร็งปากมดลูกเกิดจากอะไร
มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งแห่งความรัก หากปราศจากการมีเพศสัมพันธ์ มะเร็งก็ไม่เกิด พบว่าเชื้อไวรัส HPV เป็นสาเหตุที่ชักนำให้ปากมดลูกเกิดความผิดปกติกลายเป็นมะเร็ง โดยเชื้อไวรัส HPV นี้เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดหูดหงอนไก่ และเมื่อสตรีได้รับเชื้อไวรัส HPV มาจากการมีเพศสัมพันธ์ เชื้อชนิดนี้จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมภายในเซลล์ปากมดลูก จนกลไกการควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ถูกกระตุ้นขึ้น ตามมาด้วยการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ ซึ่งไม่อาจหยุดยั้งได้ของเซลล์เนื้องอก

 
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก
- การมีเพศสัมพันธ์กับชายสำส่อน ซึ่งอาจรับเชื้อไวรัส HPV เข้าสู่ร่างกายจากสตรีอื่นมาแล้ว
- การมีคู่นอนหลายคน ทำให้เสี่ยงต่อการรับเชื้อไวรัส HPV มากขึ้น
- การมีเพศสัมพันธ์ขณะอยู่ในวัยเด็กหรือวัยรุ่น เนื่องจากปากมดลูกในระยะนี้ไวต่อการติดเชื้อ HPV
- การสูบบุหรี่หรือขาดสารอาหารบางชนิด ทำให้ร่างกายมีความบกพร่องของกลไกป้องกันไวรัส HPV
จะเห็นได้ว่า โรคมะเร็งปากมดลูกสามารถป้องกันได้ง่ายมาก เป็นโรคที่ต้องใช้ความเข้าใจในการแก้ปัญหา ความรักระหว่างสามีภรรยา ความรักระหว่างสมาชิกในครอบครัว ความอบอุ่นภายในครอบครัว ความสัมพันธ์ทางเพศที่ไม่สำส่อนจะไม่มีโอกาสรับเชื้อไวรัสมหาภัยชนิดนี้มาได้เลยค่ะ                   

อ่านต่อ 
                                                        

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

พลังของผักผลไม้หลากสี

 
ผักผลไม้หลากสี นอกจากสีสันสวยงามแล้ว ยังมีประโยชน์เพียบเลย

              อย่างที่เรารู้ ๆ กันว่าประโยชน์ของผักผลไม้นั้นมีมากมายมหาศาล ทั้งวิตามิน แร่ธาตุหลากชนิดที่เป็นประโยชน์กับกลไกต่าง ๆ ในร่างกาย และคุณสมบัติของการเป็นแหล่งใยอาหาร เป็นสารอาหารที่ช่วยลดการดูดซึมของคอเลสเตอรรอลและไขมัน (ศัตรูตัวฉกาจของหุ่นเพรียวสวย และสุขภาพของคุณ ๆ) ช่วยให้ระบบย่อย ระบบการขับถ่ายทำงานปกติ

              นอกจากคุณสมบัติเหล่านี้แล้ว ในผักผลไม้ยังมีสารพิเศษ ซึ่งทำหน้าที่คล้ายยาช่วยป้องกันโรคบางชนิด เช่น มะเร็ง โรคหัวใจหลอดเลือด เป็นต้น แต่จะกินอย่างไรเพื่อให้ร่างกายได้รับการปกป้องจากโรคภัยได้นั้น เขาแนะนำให้กินหลากหลายค่ะ ถ้าให้ชัดขึ้นมาอีกหน่อยก็คือ กินให้ครบ 5 สีค่ะ ใน 5 สีสันนั้นมีอะไรบ้าง อยากรู้ไปชมไปชิมด้วยกันค่ะ

    พลังของผักผลไม้ทั้ง 5 สี

    สีเขียว

              เป็นสีแรกที่ทุกคนจะนึกถึงเมื่อพูดถึงผัก สารที่ให้สีเขียวในผักก็คือคลอโรฟีลล์ นอกจากนี้ยังมีสารประกอบอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติส่งเสริมสุขภาพ เช่น ลูทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเกิดความเสื่อมของจอประสาทตา เป็นต้น

              ผัก ผลไม้สีเขียว : ผักใบเขียวทุกชนิด เช่น บล็อกโคลี คะน้า ผักโขม กวางตุ้ง กะหล่ำปลี ชะอม


    สีเหลือง สีส้ม 
              ในกลุ่มสี นี้มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัวด้วยกัน ตัวสำคัญ ๆ ก็ เช่น เบต้า-แคโรทีน ฟลาโวนอย วิตามินซี ซึ่งช่วยดูแลรักษาสุขภาพหัวใจ หลอดเลือด และระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเรา และลดโอกาสการเกิดมะเร็ง กระตุ้นการกำจัดเซลล์มะเร็งของร่างกายด้วยค่ะ

              ผัก ผลไม้สีเหลือง ส้ม : ฟักทอง ขนุนข้าวโพด แครอต แคนตาลูป มะม่วง มะละกอสุก สับปะรด


    สีแดง 
              สารตัวเลื่องชื่อในกลุ่มนี้ก็คือไลโคปีน เพราะมีการค้นพบว่าช่วยลดการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากของคุณผู้ชายได้ และลดปริมาณไขมันแอลดีแอลในเลือด นอกจากนี้อาหารสีแดงยังช่วยดูแลสุขภาพหัวใจ หลอดเลือดและระบบทางเดินปัสสาวะ ลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง

              ผัก ผลไม้สีแดง : แตงโม มะเขือเทศ สตรอว์เบอรี่ เชอร์รี่ ชมพู่แดง ดอกกระเจี๊ยบ บีทรูท


    สีม่วงแดง

              ในผักผลไม้กลุ่มสีนี้มีสารแอนโทไซยานิน ช่วยปกป้องผักผลไม้จากการทำลายของรังสีอัลตร้าไวโอเลต เลยทำให้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผนังหลอดเลือด ช่วยชะลอการเกิดการอุดตันในเส้นเลือด และโรคหลอดเลือดหัวใจแข็งตัว

              ผักผลไม้สีม่วงแดง : กะหล่ำปลีม่วง มะเขือม่วง หอมแดง ถั่วดำ/แดง ข้าวเหนียวดำ ข้าวแดง มันสีม่วง เผือก ดอกอัญชัน ลูกพรุน ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น องุ่นแดง บลูเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ เป็นต้น


    สีขาว 

              สารประกอบในผักผลไม้กลุ่มนี้มีหลายชนิดและเป็นที่สนใจของนักวิจัย เพราะมีประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน เช่น แอปเปิ้ล ฝรั่ง หอมหัวใหญ่ กระเทียมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสียหายของเซลล์และอวัยวะในร่างกาย ขิงและข่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยดูแลความดันเลือด และป้องกันโรคหัวใจหลอดเลือดอุดตัน เป็นต้น

               ผัก ผลไม้สีขาว : แอปเปิ้ล ฝรั่ง เงาะ ลิ้นจี่ แห้ว งา ลูกเดือย ข่า ขิง กระเทียม หอมหัวใหญ่

              ดู ๆ แล้วคุณประโยชน์ของอาหารแต่ละกลุ่มสี ก็ไม่ได้ทิ้งห่างกันเท่าไหร่เลย แต่การแบ่งกลุ่มสีก็เพื่อให้ง่ายและสนุกกับการเลือกกินมากยิ่งขึ้น ยังไงลองดูนะคะ 1 วันกินให้ได้ 5 สี สลับหมุนเวียนชนิดในแต่ละสีไป นอกจากได้สารอาหารหลากหลายที่ดีกับสุขภาพเราแล้ว เราเองก็ไม่รู้สึกเบื่อด้วย

วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

รณรงค์ฉีดวัคซีนคอตีบ - บาดทะยัก

รณรงค์ฉีดวัคซีนคอตีบ - บาดทะยัก



โรคคอตีบและโรคไอกรน เป็นโรคติดต่อที่พบได้บ่อยในเด็ก ส่วนโรคบาดทะยักพบได้ในทุกเพศและวัย เพราะมีการปนเปื้อนของเชื้อบาดทะยักในสิ่งแวดล้อมและดิน ในประเทศไทยมีการใช้วัคซีนป้องกันคอตีบ - บาดทะยัก- ไอกรน ครอบคลุมทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ช่วยลดอุบัติการณ์ของการเกิดโรคทั้งสามได้เป็นอย่างดี
 



โรคคอตีบ

เป็นโรคติดต่อที่เกิดขึ้นเฉียบพลันและร้ายแรง พบได้ประปรายตลอดปี ส่วนมากจะพบในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี เกิดจากการติดเชื้อ Corynebacterium diphtheriae ในน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย มีระยะฟักตัวประมาณ 1-7 วัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูง หายใจหอบ คอบุ๋ม ชีพจรเร็ว การตรวจคอ อาจพบแผ่นฝ้าสีขาวปนเทา (White-grayish membrane) ซึ่งดูคล้ายเศษผ้าสกปรกติดอยู่บนทอนซิล คอหอย และลิ้นไก่ ซึ่งเขี่ยออกยาก ถ้าเขี่ยแรงจะทำให้มีเลือดออกได้ อาการแทรกซ้อนที่สำคัญคือ โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) และประสาทอักเสบ (neuritis) ซึ่งเกิดจากชีวพิษ (toxin) ของเชื้อ ดังนั้นการให้วัคซีนที่เป็นทอกซอยด์ (toxoid) ซึ่งได้จากชีวพิษช่วยลดอัตราการเกิดโรคคอตีบได้เป็นอย่างดี จึงแนะนำให้มีการให้วัคซีนให้ครบตามกำหนด ปัจจุบันพบว่าระดับภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้ในผู้ใหญ่ลดลง องค์การอนามัยโลกแนะนำให้มีการใช้วัคซีน dT ทดแทนการฉีดวัคซีนบาดทะยักเดี่ยวในกรณีของคนตั้งครรภ์และผู้ที่มีบาดแผล

โรคบาดทะยัก

โรคนี้เกิดจากสารชีวพิษ (toxin) ที่สร้างจากเชื้อ Clostridium tetani ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดที่ไม่ชอบออกซิเจน การเกิดโรคเกิดจากการปนเปื้อนของชีวพิษทางบาดแผลหรือการได้รับเชื้อเข้าสู่แผลที่มีออกซิเจนต่ำจะทำให้เชื้อเจริญเติบโตได้ดีและให้ชีวพิษออกมา อาการของโรคคือ การเจ็บปวดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เริ่มจากบริเวณแก้มและลำคอ และลงมาที่กล้ามเนื้อบริเวณลำตัว ทำให้มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหน้าท้อง บางครั้งอาจพบการหดเกร็งกล้ามเนื้อเฉพาะบริเวณบาดแผลเท่านั้น การหดเกร็งกล้ามเนื้อเกิดจากการกระตุ้นระบบประสาทรับความรู้สึกของชีวพิษ ยาปฏิชีวนะกำจัดเชื้อบาดทะยักได้ไม่ดีและไม่สามารถกำจัดชีวพิษที่ก่อให้เกิดโรคได้ แต่การให้วัคซีน ที่เป็น ทอกซอยด์ช่วยป้องกันโรคได้เป็นอย่างดีและการให้อิมมูโนกอลบลูลินสามารถช่วยกำจัดชีวพิษได้

โรคไอกรน

เป็นโรคที่พบมากในเด็กที่อายุน้อยกว่า 6 ปี และในเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 6 เดือนมีอัตราการเสี่ยงต่อการการเกิดโรคและเสียชีวิตได้สูง เกิดจากเชื้อ Bordeltella pertussis การติดเชื้อผ่านทางน้ำมูกและน้ำลาย อาการทั่วไปคล้ายไข้หวัดคือ ไข้ต่ำ น้ำมูกไหลจาม และไอ แต่อาการไอจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยคอไม่แดงและเสียงปอดปกติ ยกเว้นในรายที่มีโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนจะพบร่วมกับไข้ อาจพบปื้นแดงที่ตาขาว ปัจจุบันพบว่ามีการระบาดของไอกรนในผู้ใหญ่ซึ่งกำลังมีการพิจารณาการให้วัคซีนไอกรนซ้ำอีกในผู้ใหญ่

วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยักและไอกรน

วัคซีนป้องกันโรคคอตีบและบาดทะยักทำจากทอกซอยด์ ขณะที่วัคซีนป้องกันโรคไอกรนเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายหรือส่วนของแอนติเจนจากผนังเซลล์ของเชื้อ วัคซีนในกลุ่มนี้ที่มีอยู่แบ่งได้เป็น 3 จำพวกคือ

1. วัคซีนบาดทะยัก (TT) ประกอบด้วยทอกซอยด์บาดทะยัก

2. วัคซีนผสมของคอตีบและบาดทะยัก วัคซีนกลุ่มนี้มี 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีน DT และวัคซีน dT ซึ่งแตกต่างกันที่ปริมาณของทอกซอยด์คอตีบ โดยทอกซอยด์คอตีบที่ใช้ในเด็กต่ำกว่า 7 ปีจะมีปริมาณสูงถึง 30 Lf (DT) ส่วนวัคซีนที่มีปริมาณทอกซอยด์คอตีบต่ำอยู่ที่ 10 Lf (dT) ใช้สำหรับผู้ใหญ่หรือเด็กที่อายุมากกว่า 7 ปีขึ้นไป

3. วัคซีนผสมของคอตีบ บาดทะยักและไอกรน วัคซีนกลุ่มนี้ในปัจจุบันมี 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีน DTwP และวัคซีน DTaP วัคซีนทั้งสองชนิดมีองค์ประกอบของทอกซอยด์คอตีบและบาดทะยักที่เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างในส่วนของวัคซีนไอกรน โดยวัคซีน DTwP ประกอบด้วยเชื้อไอกรนที่ตายแล้ว ขณะที่วัคซีน DTaP ประกอบด้วยแอนติเจนจากผนังเซลล์ของเชื้อไอกรนจำนวน 2 อย่างคือ Inactivated lymphocytois promoting factor (LPF) และ Filamentous hemagglutinin (FHA) วัคซีนนี้ใช้ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 7 ปี โดยพบว่าวัคซีนทั้งสองชนิดให้ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคที่ไม่แตกต่างกัน แต่วัคซีน DTwP ให้ผลข้างเคียงสูงกว่า DTaP ถ้าได้รับวัคซีน DTwP แล้วมีไข้ สูงเกิน 40.5 0C มีการชักหรือกรีดร้องนานกว่า 3 ชั่วโมง หรือมีภาวะตัวอ่อนและไม่ตอบสนองเกิดขึ้นภายใน 48 ชั่วโมงหลังได้รับวัคซีน เมื่อจะให้วัคซีนครั้งต่อไปควรให้ยาลดไข้หรือยากันชักป้องกันไว้ก่อน หรือให้วัคซีน DTaP/DT แทน

 

 

 

 

 

อ่านต่อ



ข้อมูลอ้างอิงจาก ภญ.ผศ.ดร.จุรีย์ เจริญธีรบูรณ์

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

รู้หรือไม่? วัคซีนจำเป็นสำหรับผู้ใหญ่


วัคซีน คือสิ่งสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า การฉีดวัคซีนเป็นเรื่องของเด็ก และในตอนเยาว์วัยฉีดวัคซีนครบแล้ว โตขึ้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องฉีดอีก เพราะร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคที่เคยฉีดไว้แล้ว แต่แท้จริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะวัคซีนบางชนิดไม่ได้มีประสิทธิภาพป้องกันโรคตลอดชีวิต และยังอาจเสื่อมลงไปตามอายุที่มากขึ้น

คุณทราบหรือไม่? วัคซีนจำเป็นสำหรับผู้ใหญ่
การฉีดวัคซีน  เป็นการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคที่มีประสิทธิภาพสูงและมีความคุ้มค่า ปัจจุบันมีวัคซีนหลายชนิดที่ผลิตขึ้นเพื่อป้องกันโรคในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ  เพราะภูมิคุ้มกันของร่างกายจากการที่เคยได้รับวัคซีนในวัยเด็กจะลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งภูมิคุ้มกันที่ลดลงจะไม่เพียงพอและส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อและเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคไข้หวัดใหญ่, โรคนิวโมคอคคัส, โรคคอตีบ,โรคไอกรน,โรคบาดทะยัก, โรคมะเร็งปากมดลูกและไวรัสตับอักเสบบี รวมถึงโรคแทรกซ้อนและผลกระทบอื่นๆ ที่ตามมา  ดังนั้น ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุจึงมีความจำเป็นที่ต้องได้รับการดูแลสุขภาพ โดยการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วยวัคซีนเช่นเดียวกัน
โดยในประเทศไทยเรานั้น ทางราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ออกคำแนะนำแนวทางการให้วัคซีนเพื่อป้องกันโรคสำหรับผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ (Recommendation Adult and Elderly Immunization Schedule) พ.ศ.2555  โดยแนะนำให้ผู้ใหญ่เข้ารับการฉีดวัคซีน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ด้วยเหตุผลที่ว่าการฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่ดีที่สุด

ที่นอกจากจะช่วยป้องกันสุขภาพของคนที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่แล้ว ในระยะยาวยังช่วยป้องกันไม่ให้เด็กวัยรุ่น และผู้สูงอายุที่อยู่ในครอบครัวเดียวกันเจ็บป่วยจากโรคภัยต่างๆ ด้วย เนื่องจากช่วงวัย, โรคประจำตัว, สิ่งแวดล้อมที่ต่างกันย่อมส่งผลให้ความต้องการการได้รับวัคซีนแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลด้วย ดังนี้
ช่วงอายุ
วัคซีนป้องกันโรคที่แนะนำให้ฉีด
หมายเหตุ
วัคซีนจำเป็นอื่นๆ*
ผู้ใหญ่ช่วงต้น
(อายุ 18 – 26 ปี)
-วัคซีนบาดทะยักและคอตีบ-ฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี -วัคซีนอีสุกอีใส
-วัคซีนตับอักเสบเอ
-วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่ - ฉีดกระตุ้นทุก 1 ปี
- วัคซีนหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน - ฉีด 1 เข็ม
-วัคซีนเอชพีวี -ควรฉีดตั้งแต่วัยรุ่นตอนต้น (การฉีดวัคซีนไม่สามารถทดแทนการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก)
- วัคซีนตับอักเสบบี-ควรตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีดวัคซีน
ผู้ใหญ่
(อายุ 27 – 65 ปี)
-วัคซีนบาดทะยักและคอตีบ-ฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี -วัคซีนอีสุกอีใส
-วัคซีนตับอักเสบเอ
-วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่ - ฉีดกระตุ้นทุก 1 ปี
- วัคซีนตับอักเสบบี-ควรตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีดวัคซีน
ผู้สูงอายุ
(อายุมากกว่า 65 ปี)
-วัคซีนบาดทะยักและคอตีบ-ฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี -วัคซีนอีสุกอีใส
-วัคซีนตับอักเสบเอ
-วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น                  
-วัคซีนงูสวัด
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่ - ฉีดกระตุ้นทุก 1 ปี
-วัคซีนป้องกันนิวโมคอคคัส 
ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง (ไม่มีม้าม หัวใจวาย ปอดอุดกั้นเรื้อรัง ไตวายเรื้อรัง ตับวาย ติดเชื้อเอดส์ รับยากดภูมิคุ้มกัน)
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่ - ฉีดกระตุ้นทุก 1 ปีหรือตามคำแนะนำของแพทย์  
- วัคซีนตับอักเสบบี-ควรตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีดวัคซีน
-วัคซีนป้องกันนิวโมคอคคัส 
 

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บริหารมือ

 

 

 “ มือ ” ถือได้ว่าเป็นอวัยวะสำคัญที่ต้องมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะหยิบจับสิ่งของ หรือใช้งานในกิจกรรมอื่นๆ ทั้งเด็กที่จะต้องใช้มือในการเขียนหนังสือ ผู้ใหญ่คนทำงานที่ต้องใช้มือกับแป้นพิมพ์ เขียนงานเอกสาร หรือใช้ในงานด้านต่างๆ ตลอดจนแม่บ้านที่ทำงานบ้าน ซักผ้าบิดผ้า หิ้วถุงจ่ายตลาด
 
ภาวะนิ้วล็อค  เป็นกลุ่มอาการหนึ่งที่เกิดกลุ่มคนที่ใช้มือในการทำงานอย่างหนัก ก็จะพบว่ามีอาการเจ็บและมีเสียงดังกึก ทำให้เส้นเอ็นไม่โก่งตัวออกเมื่องอนิ้ว แต่เมื่อมีการอักเสบเส้นเอ็นจะบวมและหนาตัว ทำให้ลอดผ่านห่วงลำบาก จึงรู้สึกเจ็บและเกิดอาการนิ้วล็อคตามมา ส่วนใหญ่จะพบในผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะแม่บ้าน ส่วนในผู้ชายมักจะพบในผู้ที่มีอาชีพที่ต้องใช้มือหนักๆ เช่น พนักงานพิมพ์ดีด นักกอล์ฟ
 
โดยส่วนใหญ่เกิดในผู้หญิงอายุ 45 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะแม่บ้านที่ใช้มือทำงานอย่างหนัก เช่น หิ้วตะกร้าจ่ายกับข้าว ชอปปิ้ง บิดผ้า ส่วนในผู้ชายมักพบในอาชีพที่ใช้มือทำงานหนักๆ มีการจับ ออกแรงบีบอุปกรณ์ซ้ำๆ เช่น คนทำสวนใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้ ช่างที่ใช้ไขควงหรือเลื่อย พนักงานพิมพ์ดีด นักกอล์ฟ ช่างงานฝีมือ นักยูโด และหมอนวดแผนโบราณเป็นต้น
 
ในแต่ละกิจกรรมจะใช้งานแต่ละนิ้วไม่เหมือนกัน จึงทำให้เกิดนิ้วล็อคที่ตำแหน่งนิ้วต่างกันด้วย เช่น อาชีพครู หรือนักบริหาร มักเป็นนิ้วล็อคที่นิ้วโป้งขวา เพราะใช้เขียนหนังสือมาก และใช้นิ้วโป้งกดปากกานานๆ ส่วนแม่บ้านซักบิดผ้า มักเป็นที่นิ้วชี้ซ้ายและขวา แต่ทั้งนี้ภาวะดังกล่าวไม่มีอันตรายใดๆ เพียงแต่ให้ความรู้สึกเจ็บปวด และใช้มือได้ไม่ถนัด เป็นโรคที่สามารถป้องกัน และรักษาให้หายได้ ถ้ารู้จักวิธีดูแลตนเองอย่างถูกต้อง
 
ในระยะแรกจะมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ กำมือไม่ถนัด หรือกำได้ไม่เต็มที่โดยเฉพาะตอนเช้าหลังตื่นนอน พอใช้มือไปสักพักก็จะกำมือได้ดีขึ้น เวลางอที่จะเหยียดนิ้วมือมักจะได้ยินเสียงดังกึก ต่อมาจะมีอาการนิ้วล็อค คือ เวลางอนิ้วจะเหยียดขึ้นเองไม่ได้ มักเกิดกับมือข้างถนัดที่ใช้งาน ซึ่งอาจเป็นเพียงนิ้วเดียว หรือเป็นพร้อมกันหลายนิ้วก็ได้ บางรายอาจรุนแรงถึงนิ้วบวมชา ติดแข็งจนใช้งานไม่ได้
 
       วิธีทำกายภาพมือแบบง่ายๆ ก่อนจะเป็นนิ้วล็อคถาวร
 
1. ยืดกล้ามเนื้อแขน มือ นิ้วมือ โดยยกแขนระดับไหล่ ใช้มือข้างหนึ่งดันให้ข้อมือกระดกขึ้น-ลง ปลายนิ้วเหยียดตรงค้างไว้ นับ 1-10 แล้วปล่อยทำ 6-10 ครั้ง/เซต
 
2. บริหารการกำ-แบมือ โดยฝึกกำ-แบ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อนิ้วมือ และกำลังกล้ามเนื้อภายในมือ หรืออาจถือลูกบอลในฝ่ามือก็ได้ โดยทำ 6-10 ครั้ง/เซต
 
3. ท่าเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อที่ใช้งอ-เหยียดนิ้วมือ โดยใช้ยางยืดช่วยต้าน แล้วใช้นิ้วมือเหยียดอ้านิ้วออก ค้างไว้ นับ 1-10 แล้วค่อยๆ ปล่อย ทำ 6-10 ครั้ง/เซต
 
       วิธีลดความเสี่ยงการเป็นนิ้วล็อค
 
1. ไม่หิ้วของหนักเกินไป ถ้าจำเป็นต้องหิ้วให้ใช้ผ้าขนหนูรอง และหิ้วให้น้ำหนักตกที่ฝ่ามือ อาจใช้วิธีการอุ้มประคองหรือรถเข็นลากแทน เพื่อลดการรับน้ำหนักที่นิ้วมือ
 
2. ควร ใส่ถุงมือ หรือห่อหุ้มด้ามจับเครื่องมือให้นุ่มขึ้นและจัดทำขนาดที่จับเหมาะแก่การใช้งาน ขณะใช้เครื่องมือทุ่นแรง เช่น ไขควง เลื่อย ค้อน ฯลฯ
 
3. งานที่ต้องใช้เวลาทำงานนานต่อเนื่อง ทำให้มือเมื่อยล้า หรือระบม ควรพักมือเป็นระยะๆ และออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อมือบ้าง
 
4. ไม่ขยับนิ้วหรือดีดนิ้วเล่น เพราะจะทำให้เส้นเอ็นอักเสบมากยิ่งขึ้น
 
5. ถ้ามีข้อฝืดตอนเช้า หรือมือเมื่อยล้า ให้แช่น้ำอุ่นร่วมกับการขยับมือกำแบเบา ๆ ในน้ำ จะทำให้ข้อฝืดลดลง
 

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

ฝรั่ง สรรพคุณและประโยชน์ของฝรั่ง 33 ข้อ !

ฝรั่ง สรรพคุณและประโยชน์ของฝรั่ง 33 ข้อ !   
     ฝรั่ง
             
            ฝรั่ง ชื่อสามัญ Guava ฝรั่ง ชื่อวิทยาศาสตร์ Psidium guajava Linn. จัดเป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกากลางและในหมู่เกาะอินดีสต์ตะวันตก และคาดว่ามีการนำเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยสายพันธุ์ในบ้านเราที่นิยมนำมารับประทานสดๆ ก็ได้แก่ฝรั่งกิมจู ฝรั่งเวียดนาม ฝรั่งแป้นสีทอง ฝรั่งไร้เมล็ด ฝรั่งกลมสาลี่ เป็นต้น
            ฝรั่งเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด โดยจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทุกชนิด ในฝรั่งน้ำหนัก 165 กรัม จะให้วิตามินสูงถึง 377 มิลลิกรัม ! มีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 5 เท่า !
            ฝรั่ง เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่เหมาะมากสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ลดน้ำหนัก หรือผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากฝรั่งอุดมไปด้วยกากใยอาหาร เมื่อรับประทานแล้วจะทำให้อิ่มนาน ช่วยกำจัดท้องร้องอาการหิวที่คอยมากวนใจ เพราะกากใยจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ช่วยปรับระดับการใช้อินซูลินของร่างกายให้เหมาะสม และกากใยยังช่วยล้างพิษโดยรวบได้อีกด้วย จึงส่งผลทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดใส
            คำแนะนำ : การรับประทานฝรั่งไม่ควรจะปอกเปลือกทั้งนี้เพื่อคงคุณค่าของสารอาหาร และไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ไม่ควนรับประทานร่วมกับพริกเกลือน้ำตาลหรืออื่นๆ เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังทำให้เราอ้วนขึ้นอีกด้วย
คุณค่าทางโภชนาการของฝรั่งต่อ 165 กรัม

             
 •  พลังงาน 112 กิโลแคลอรีสรรพคุณของฝรั่ง                     •  เส้นใยอาหาร 8.9 กรัม 36%                •  โปรตีน 4.2 กรัม 8% • ไขมัน 1.6 กรัม 2%                •  คาร์โบไฮเดรต 23.6 กรัม 8%                •  วิตามินเอ 1030 IU 21%                •  วิตามินซี 377 มิลลิกรัม 628%                •  วิตามินบี1 0.1 มิลลิกรัม 7%                •  วิตามินบี2 0.1 มิลลิกรัม 4%                •  วิตามินบี3 1.8 มิลลิกรัม 9%                •  กรดโฟลิก 81 ไมโครกรัม 20%                •  ธาตุแคลเซียม 30 มิลลิกรัม 3%                •  ธาตุฟอสฟอรัส 66 มิลลิกรัม 7%                •  ธาตุเหล็ก 0.4 มิลลิกรัม 2%                •  ธาตุโพแทสเซียม 688 มิลลิกรัม 20%                •  ธาตุทองแดง 0.4 มิลลิกรัม 19%
     % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่
ประโยชน์ของฝรั่ง
               1. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมากซึ่งช่วยในการชะลอวัยและริ้วรอยต่างๆได้ดี                2. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย                3. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ปกป้องผิวหนังจากอนุมูลอิสระต่างๆ                4. เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก                5. ช่วยลดไขมันในเลือด                6. สรรพคุณของฝรั่งช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง                7. ใช้รักษาโรคอหิวาตกโรค                8. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง                9. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน               10. ช่วยป้องกันอาการผิดปกติของหัวใจได้               11. ใบฝรั่งใช้ในการดับกลิ่นปาก ด้วยการนำใบสด 3-5 ใบมาเคี้ยวแล้วคายกากทิ้ง               12. ผลอ่อนช่วยบำรุงเหงือกและฝัน               13. ใบฝรั่งช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน เหงือกบวม               14. ประโยชน์ของฝรั่งช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือโรคเลือดออกตามไรฟันได้               15. รากใช้แก้อาการเลือดกำเดาไหล               16. น้ำต้มผลฝรั่งตากแห้ง ช่วยรักษาอาการเสียงแห้ง แก้คออักเสบ               17. น้ำต้มใบฝรั่งสดช่วยรักษาอาการท้องเสีย ป้องกันโรคลำไส้อักเสบ               18. ใบช่วยรักษาอาการท้องเดิน ท้องร่วง               19. ชาที่ทำจากใบอ่อนใช้สำหรับรักษาโรคบิด               20. ผลสุกใช้ทานเป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูก               21. ช่วยล้างพิษโดยรวมในร่างกาย               22. ใบช่วยแก้อาการปวดเนื่องจากเล็บขบ               23. ใช้ทาแก้ผื่นคัน แผลพุพองได้               24. ใบใช้แก้แพ้ยุง               25. ใบฝรั่งใช้รักษาบาดแผล               26. ใบใช้เป็นยาล้างแผล ดูดหนอง ถอนพิษบาดแผล แก้พิษเรื้อรัง น้ำกัดเท้า               27. รากใช้แก้น้ำเหลืองสี เป็นฝี แผลพุพอง               28. ใช้ในการห้ามเลือด ด้วยการใช้ใบมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณที่มีเลือดออก (ควรล้างใบให้สะอาดก่อน)               29. ช่วยในการดับกลิ่นสาบจากแมลงและซากหนูที่ตาย ด้วยการใช้ฝรั่งสุก 2-3 ลูกวางทิ้งไว้ในรัศมีของกลิ่น กลิ่นดังกล่าวก็จะค่อยๆหายไป               30. การรับประทานฝรั่งจะช่วยขจัดคราบอาหารบนตัวฟันได้               31. เปลือกของต้นฝรั่งนำมาใช้ทำสีย้อมผ้า               32. นิยมนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ฝรั่งดอง ฝรั่งแช่บ๊วย พายฝรั่ง และขนมอีกหลากหลายชนิด              33. นำมาใช้ทำเป็นยาแคปซูลแก้ท้องเสียจากใบฝรั่ง ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งบรรจุแคปซูลละ 250 มิลลิกรัม
แหล่งอ้างอิง : http://www.greenerald.com/ฝรั่ง/
 

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

การบริหารกล้ามเนื้อตาแบบง่ายๆ


การบริหารกล้ามเนื้อตา เป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อตา เพื่อช่วยลดความตึงเครียดของดวงตา อาการเพลียตา หรือปวดตา เนื่องจากการใช้สายตามาก โดยมีวิธีปฏิบัติดังนี้

กรอกตาขึ้น-ลงช้าๆ 6 ครั้ง :
โดยเหลือบตาขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุด ในระหว่างการบริหารอย่างเกร็งลูกตา
กลอกตาไปข้างขวาและซ้ายสลับกัน :
โดยกลอกตาไปให้ขวาสุด และซ้ายสุด ทำซ้ำ 2 - 3 ครั้ง
ชูนิ้วชี้ขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา :
ห่าง จากสายตาประมาณ 8 นิ้ว แล้วจองมองไปที่ระยะไกลๆ ประมาณ 10 ฟุต สลับกับใช้ตามองระยะใกล้ที่นิ้งมือ ใช้เวลามองแต่ละที่ประมาณ 2 - 3 วินาที ทำสลับไปมาเช่นนี้ประมาณ 10 ครั้ง แล้วหยุดพัก 1 วินาที ทำประมาณ 2 - 3 รอบ

กลอกตาเป็นวงกลมช้าๆ :
โดยเริ่มกลอกตาตามเข้มนาฬิกาก่อน แล้วกลอกตาทวนเข็มนาฬิกา ทำประมาณ 10 ครั้ง แล้วหยุดพัก 1 วินาที ทำประมาณ 2 - 3 รอบ

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทำงานกับคอมพิวเตอร์อย่างมีความสุข


ทำงานกับคอมพิวเตอร์อย่างมีความสุข

           ชีวิตในปัจจุบัน ทำให้จำเป็นต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน หรือการพักผ่อนหย่อนใจในโลกไซเบอร์ แต่ถ้าเราทำงานกับคอมพิวเตอร์อย่างไม่ถูกสุขลักษณะ จะก่อให้เกิดปัญหาในร่างกาย เช่น ภาวะปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง เอ็นอักเสบ หรือวุ้นในตาเสื่อม เป็นต้น ลองนำ 10 วิธี ของเราไปปฏิบัติ แล้วคุณจะสามารถทำงานกับคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีความสุข
            1. ควรตรวจสายตาก่อนทำงานที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ และตรวจวัดสายตาซ้ำเป็นระยะๆ             2. ผู้ที่แพ้แสงสว่าง ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนปฏิบัติงานร่วมกับคอมพิวเตอร์             3. ควรเปลี่ยนอิริยาบถ หรือยืดกล้ามเนื้อเป็นระยะๆ ไม่ควรนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานเกินไป             4. จอจัดแสงที่จอแสดงภาพ (Monitor) ควรเหมาะสม คือไม่ควรมีแสงกระพริบ หรือวูบวาบ และควรมีความสว่างหรือความเข้มของแสงที่เหมาะสม คือ ควรปรับให้ ไม่สว่างหรือมืดเกินไป             5. ระยะจากสายตามายังจอคอมพิวเตอร์ ควรมีมุมก้มประมาณ 20 องศา ระยะห่าง 18-22 นิ้ว             6. การวางตำแหน่งมือที่แป้นพิมพ์ ข้อศอก ควรตั้งฉากกับลำตัว(ประมาณ 90-120 องศา) เพื่อลดแรงยกที่หัวไหล่             7. การจับ Mouse ไม่ควรให้ข้อมืออยู่ในตำแหน่งที่บิดเอียงออกทางด้านนอกลำตัว ควรจับในท่าที่ข้อมือเอียงหรือบิดน้อยที่สุด             8. เก้าอี้ ควรสามารถปรับระดับสูงต่ำ ตามสรีระของผู้ใช้งานได้ และต้องมีพนักพิงที่ปรับระดับได้ และที่พักแขน ส่วนเบาะรองนั่งควรมีลักษณะโค้งลาดลง ไม่เป็นสันคม และไม่กดที่ใต้ตำแหน่งของเข่า             9. จอแสดงภาพต้องสามารถปรับมุมก้มเงย หรือเอียงได้             10. หากปวดกล้ามเนื้อหรือเอ็นเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์

***ที่สำคัญ การทำงานทุกการทำงานต่อเนื่องกัน 2 ชั่วโมง ควรมีการหยุดพักประมาณ 10 นาที ด้วยนะครับ***

ขอบคุณหนังสือ วิทยาการจัดสภาพงานเพื่อเพิ่มผลผลิตและความปลอดภัย และหนังสือสุขอนามัยของผู้ทำงานกับคอมพิวเตอร์

 









นพ.สิรพัชร โพธิ์พุก   ศัลยกรรมการเปลี่ยนข้อเทียม,  
สะโพกเทียม, ข้อเข่าเทียม (ศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์)   

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อาหารกระป๋อง

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
11. อาหารกระป๋อง...เลือกอย่างไร

  • อาหารกระป๋องในท้องตลาดมีหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งคุณภาพและราคาแตกต่างกัน การเลือกซื้อควรเลือก
    1. กระป๋องที่อยู่ในสภาพเรียบร้อย
    2. ไม่เป็นสนิม
    3. ไม่รั่วซึม หรือบุบบวม
    4. มีฉลากติดที่ภาชนะ ระบุชื่อประเภทของอาหาร ชื่อผู้ผลิต สถานที่ตั้ง เลขสารบบอาหารในกรอบเครื่องหมาย อย. วันเดือนปีที่ผลิต และวันหมดอายุ
  • ก่อนนำอาหารกระป๋องมารับประทาน ควรสังเกตสภาพของอาหารในกระป๋อง ว่ายังอยู่ในสภาพปกติหรือไม่
  • การเก็บอาหารกระป๋องที่ยังไม่เปิด ให้เก็บในที่แห้งเพื่อป้องกันการเกิดสนิม และต้องไม่ให้โดนแสงแดดหรือความร้อน เพราะจะเป็นการเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี และกายภาพของตัวอาหาร ซึ่งจะทำให้อาหารหมดอายุก่อนกำหนด

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อาหารปนเปื้อนสารเคมี...อันตราย

อาหารปนเปื้อนสารเคมี...อันตราย

มีอาหารหลายชนิดที่เรากินโดยไม่รู้ว่ามีสารเคมีปนเปื้อนอยู่ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและ อาจเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคร้ายแรงได้ สารเคมีสำคัญๆ ที่มักจะปนเปื้อนในอาหาร 5 ชนิด ที่มักตรวจพบในอาหาร ได้แก่
  1. สารบอแรกซ์ (Borax) มีลักษณะเป็นผงสีขาวมีชื่ออื่นๆ อีก เช่น น้ำประสานทอง สารข้าวตอก ผงกันบูด เพ่งแซ ผงเนื้อนิ่ม
    • สารบอแรกซ์ เป็นสารที่ใช้ในอุตสาหกรรม เช่น
      1. ทำแก้ว เพื่อทำให้ทนความร้อน
      2. เป็นสารประสานในการเชื่อมทอง
      3. เป็นสารหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราในแป้งทาตัว เป็นต้น
  • แต่แม่ค้ามักนำมาผสมในอาหาร เพื่อให้อาหารมีความหยุ่นกรอบ คงตัวได้นาน ไม่บูดเสียง่าย
  • อาหารที่มักพบว่ามีสารบอแรกซ์ ได้แก่ หมูบด ลูกชิ้น ทอดมัน หมูสด เนื้อสด ไส้กรอก ผลไม้ดอง ทับทิมกรอบ ลอดช่อง เป็นต้น
  • พิษของสารบอแรกซ์เกิดได้สองกรณี คือ
    1. แบบเฉียบพลัน จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หงุดหงิด ผิวหนังอักเสบ ผมร่วง ส่วนอีกกรณีคือ
    2. แบบเรื้อรัง จะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ผิวหนังแห้ง หน้าตาบวม เยื่อตาอักเสบ ตับไตอักเสบ
  • คำแนะนำ
    1. ผู้บริโภคไม่ซื้อเนื้อหมูที่ผิดปกติจากธรรมชาติ
    2. หลีกเลี่ยงสารบอแรกซ์ในอาหารโดย ไม่ซื้อหมูบดสำเร็จรูป ควรซื้อเป็นชิ้นแล้วนำมาบดหรือสับเอง
    3. ไม่กินอาหารที่มีลักษณะกรอบเด้ง หรืออยู่ได้นานผิดปกติ
  • โทษของการผลิตหรือจำหน่ายอาหารซึ่งปนเปื้อนสารบอแรกซ์ ถือเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 25(1) เป็นอาหารไม่บริสุทธิ ตามมาตรา 26(1) มีโทษตามมาตรา 58 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • การทดสอบโดยใช้ชุดทดสอบบอแรกซ์ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
    1. สับเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆ
    2. เติมน้ำยาทดสอบบอแรกซ์จนแฉะกวนให้เข้ากัน
    3. จุ่มกระดาษขมิ้นให้เปียกครึ่งแผ่น
    4. นำกระดาษขมิ้นไปตากแแดนาน 10 นาที
    5. ดูสี ถ้ากระดาษขมิ้นมีสีแดง แสดงว่าตัวอย่างมีบอแรกซ์ปนอยู่
  • สารกันรา หรือสารกันบูด เป็นกรดที่มีอันตรายต่อร่างกายมาก ซึ่งผู้ผลิตอาหารบางรายนำมาใส่เป็นสารกันเสียในอาหารแห้ง เพื่อป้องกันเชื้อราขึ้น
    • อาหารที่มักพบว่ามีสารกันรา ได้แก่ น้ำผักดอง น้ำดองผลไม้ แหนม หมูยอ เป็นต้น
    • พิษของสารกันรา เมื่อกินเข้าไปจะทำลายเซลล์ในร่างกายให้ตาย หากกินเข้าไปมากๆ จะทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้เป็นแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ ความดันโลหิตต่ำจนช็อกได้ หรือในบางรายที่กินเข้าไปไม่มากแต่แพ้ จะทำให้เป็นผื่นคันขึ้นตามตัว อาเจียน หูอื้อ มีไข้
    • หลีกเลี่ยงพิษจากสารกันราได้โดย เลือกกินอาหารที่สดใหม่ ไม่กินอาหารหมักดอง หรือเลือกซื้อจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ ซึ่งได้รับการรับรองคุณภาพ มีเครื่องหมาย อย.
    • การทดสอบเบื้องต้นสารกันรา โดยชุดตรวจกรมซาลิซิลิคในอาหาร
  • สารฟอกขาว หรือผงซักมุ้งหรือ สารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์(Sodium Hydrosulfite) เป็นสารเคมีที่ใช้ฟอกแห อวน แต่แม่ค้าบางรายนำมาใช้ฟอกขาวในอาหาร เพื่อให้อาหารมีสีขาว ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
    • อาหารที่มักพบว่ามีการใช้สารฟอกขาว ได้แก่ ถั่วงอก ขิงฝอย ยอดมะพร้าว กระท้อน หน่อไม้ดอง น้ำตาลมะพร้าว ทุเรียนกวน
    • อันตรายของสารฟอกขาวคือ เมื่อสัมผัสโดยตรงจะทำให้ผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นแดง และถ้ากินเข้าไป จะทำให้เกิดอาการอักเสบในอวัยวะที่สัมผัสอาหาร เช่น ปาก ลำคอ กระเพาะอาหาร เกิดอาการปวดหลัง ปวดศีรษะ อาเจียน แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก ความดันโลหิตลดลง และหากกินมากอาจเสียชีวิตได้
    • หลีกเลี่ยงสารฟอกขาวได้โดยการเลือกกินอาหารที่มีสีใกล้เคียงธรรมชาติ ไม่ขาวจนเกินไป
    • คำแนะนำ ผู้บริโภคควรใส่ใจในการเลือกอาหารที่มีความสะอาด และมีสีใกล้ธรรมชาติ จะช่วยให้ปลอดภัยจากอันตรายของสารฟอกขาว
    • การทดสอบเบื้องต้นสารฟอกขาว โดยใช้ชุดทดสอบสารฟอกขาวของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
      1. นำถั่วงอกมาหั่นเป้นข้อเล็กๆ
      2. เติมน้ำ 10 ซีซี บดให้เข้ากัน
      3. หยดน้ำยา 3-4 หยด สังเกตดูสีน้ำยา
      4. การอ่านผล ถ้าน้ำยาเป็นสีเทา ดำ แสดงว่ามีสารไฮโดรซัลไฟต์
  • สารฟอร์มาลิน(Formalin) หรือน้ำยาดองศพเป็นสารอันตรายที่แม่ค้าบางราย นำมาใช้ราดอาหารสด เพื่อให้ คงความสดอยู่ได้นาน ไม่บูดเน่าง่าย
    • อาหารที่มักตรวจพบว่ามีสารฟอร์มาลินปนเปื้อนอยู่ เช่น ผักสดต่างๆ อาหารทะเลสด และเนื้อสัตว์สด เป็นต้น
    • อันตรายของสารฟอร์มาลิน เมื่อกินเข้าไปจะเกิดเป็นพิษเฉียบพลัน ตั้งแต่ปวดท้องอย่างรุนแรง อาเจียน ท้องเสีย หมดสติ และอาจตายได้หากได้รับในปริมาณมาก
    • การทดสอบเบื้องต้นโดยใช้
  • ยาฆ่าแมลง หรือ สารเคมีสำหรับกำจัดแมลงซึ่งเกษตรกรบางคนใช้ในปริมาณมากเกินไป จนทำให้อาจตกค้างมากับผัก หรือผลไม้สด ปลาแห้ง
    • อันตรายจากยาฆ่าแมลง เมื่อเรากินเข้าไปมากๆ ในครั้งเดียว จะเกิดพิษแบบเฉียบพลัน เช่น ทำให้กล้ามเนื้อสั่น กระสับกระส่าย ชักกระตุก และหมดสติ หายใจขัด และอาจหยุดหายใจได้ แต่พิษที่พบมากที่สุดคือ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เกิดสะสมในร่างกาย ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้
    • การหลีกเลี่ยงจากยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนมากับอาหารคือ เลือกกินผัก ผลไม้ตามฤดูกาล หรือผักพื้นบ้าน เลือกผักที่มีรูพรุนจากการเจาะของแมลงบ้าง กินผักใบมากกว่าผักหัว เพราะผักหัวจะสะสมสารพิษไว้มากกว่า ล้างและปอกเปลือก(ในชนิดที่ทำได้) ก่อนนำมาบริโภค และเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น ผักอนามัย ผักกางมุ้ง เป็นต้น
    • การทดสอบเบื้องต้นยาฆ่าแมลง โดยชุดทดสอบยาฆ่าแมลงในอาหารของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
  • สารเร่งเนื้อแดง (ซาลบูตามอล)
    • ในท้องตลาดผู้บริโภคเคยเห็นหมูเนื้อแดงซึ่งมีแต่เนื้อล้วนๆ ไม่มีมันเลย ซึ่งมาจากความต้องการของผู้บริดภค ที่ต้องการเนื้อแดงล้วนๆไม่มีมันเลย ผู้เลี้ยงจึงให้หมูกินสารเคมี คือ ซาลบูตามอล
    • ซาลบูตามอล เป็นยาสำคัญที่ใช้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืด ช่วยในการขยายหลอดลม และมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจ เมื่อมีการนำสารซาลบูตามอลไปใช้เร่งเนื้อแดงในหมู โดยให้หมูกินสารนี้ เมื่อตกค้างมาถึงผู้บริโภค อาจมีผลข้างเคียงทำให้มีอาการมือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก ปวดศีรษะ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กระวนกระวาย วิงเวียนศีรษะ บางรายมีอาการเป็นลม คลื่นไส้อาเจียน เป็นอันตรายมากสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยเบาหวาน หญิงมีครรภ์
    • คำแนะนำ ผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยง ไม่กินเนื้อหมูที่มีสารดังกล่าว โดยเลือกหมูที่มีชั้นมันหนา และเลือกหมูที่อยู่ในลักษณะสีไม่แดงมาก
  •  
     
     

    วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

    วันต่อต้านยาเสพติด 26 มิ.ย.

    วันต่อต้านยาเสพติด 26 มิ.ย.

    วันต่อต้านยาเสพติดโลก


    วันต่อต้านยาเสพติด 2556
    โลโก้วันต่อต้านยาเสพติด 2556

    วันต่อต้านยาเสพติด 2556
    วันต่อต้านยาเสพติด 2556
    วันต่อต้านยาเสพติด 2556
    วันต่อต้านยาเสพติด 2556

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สำนักเลขาธิการ สำนักงาน ป.ป.ส.
    ด้วยสภาพปัญหายาเสพติดที่ส่งผลให้มีผู้ได้รับความเดือดร้อนทั้งทางตรง และทางอ้อมเป็นจำนวนมาก ทำให้นานาประเทศพยายามร่วมมือกัน เพื่อหาทางหยุดยั้งปัญหายาเสพติด จนกระทั่งที่ประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการใช้ยาในทางที่ผิด และการลักลอบใช้ยาเสพติด (International Conference on Drug Abuse and licit Trafficking ICDAIT) ได้มีมติให้เสนอสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (United Nations General Assembly) ขอให้กำหนดวันที่ 26 มิถุนายนของทุกปีเป็น "วันต่อต้านยาเสพติดโลก" นั่นเอง เพื่อให้ประชาชนทั่วโลกได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหายาเสพติด

    และในประเทศไทยนั้น ก็มิได้ละเลยถึงปัญหายาเสพติด เพราะรู้ว่าเรื่องนี้สร้างความเดือดร้อนแก่ตัวประชาชนเอง และครอบครัว รวมถึงประเทศชาติอีกด้วย ดังจะเห็นได้จาก พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีใจความว่า

    "....ยาเสพติดนี่มันก่อให้เกิดความเดือดร้อนหลายอย่าง โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ทั้งราชการ ตำรวจ โดยโรงพยาบาล โดยคน เอกชนต่าง ๆ เดือดร้อนหมด และสิ้นเปลือง คนทั่วประเทศก็สิ้นเปลือง แทนที่จะมีเงินทอง มีทุนมาสร้างบ้านเมืองให้สบาย ให้เจริญ มัวแต่ต้องมาปราบปราม ยาเสพติด มัวแต่ต้องเสียเงินค่าดูแลรักษาทั้งผู้เสพยา ผู้เป็นคนเดือดร้อนอย่างนี้ก็เสียทั้งเงินและเสียทั้งชื่อเสียง....." พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ ศาลาดุสิตาลัย วันที่ 4 ธันวาคม 2545

    เมื่อได้รู้ถึงปัญหายาเสพติดที่กำลังเป็นปัญหาไปทั่วโลกแล้ว วันนี้ กระปุกดอทคอม ขอพาไปทำความรู้จักกับประวัติความเป็นมาของ "วันต่อต้านยาเสพติดโลก" กันดีกว่า


    ประวัติความเป็นมาวันยาเสพติด

    ในการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการใช้ยาในทางที่ผิด และการลักลอบใช้ยาเสพติด (International Conference on Drug Abuse and licit Trafficking ICDAIT) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ระหว่างวันที่ 17-26 มิถุนายน 2530 ที่ประชุมได้มีมติให้เสนอสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (United Nations General Assembly) ขอให้กำหนดวันที่ 26 มิถุนายนของทุกปีเป็น "วันต่อต้านยาเสพติดโลก"

    โดยที่ประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอดังกล่าวในการประชุมเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2530 ซึ่งประเทศไทยหนึ่งในประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ได้แสดงเจตนารมณ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกับประเทศสมาชิกอื่นๆ ทั่วโลก ด้วยการจัดกิจกรรมเนื่องในวันต่อต้านยาเสพติดเป็นประจำเสมอมา ดังนั้น เพื่อเป็นการย้ำเตือนให้ประชาชนไทยเกิดความตระหนักว่ายาเสพติดเป็นปัญหาของคนไทยทั้งชาติ ที่ทุกคนควรมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไข สำนักงาน ป.ป.ส. จึงขอเชิญชวนชาวไทยทุกคนร่วมกัน "สวมเสื้อสีขาว" โดยพร้อมเพรียงกันในวันต่อต้านยาเสพติดโลก

    ประเทศไทยได้เผชิญกับปัญหายาเสพติด มาเป็นเวลาช้านาน รัฐบาลในแต่ละยุคได้ดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดมาตลอด จนกระทั่งใน พ.ศ. 2501 คณะปฏิวัติภายใต้การนำของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ออกประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 37 ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2501 ให้เลิกการสูบฝิ่นทั่วราชอาณาจักรโดยมีการเผาทำลายฝิ่นและอุปกรณ์การสูบฝิ่นที่ท้องสนามหลวงในคืนวันที่ 30 มิถุนายน 2502 หลังจากนั้นปี พ.ศ. 2504 รัฐบาลได้จัดตั้ง "คณะกรรมการปราบปรามยาเสพติดให้โทษ" ใช้ชื่อย่อว่า ปปส. สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีโดยมีอธิบดีกรมตำรวจเป็นประธาน และมีผู้แทนจากทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ
    ต่อมา ในสมัยนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรีรัฐบาลได้เล็งเห็นว่า การปราบปรามยาเสพติดไม่สามารถแก้ไขได้โดยการดำเนินการเฉพาะกรมตำรวจฝ่ายเดียว จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2519 ต่อสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน และประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2519

    ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การแก้ไขปัญหายาเสพติดของประเทศไทยก็ได้ดำเนินไปอย่างมีแบบแผนและเป็นระบบที่ดีขึ้น พระราชบัญญัติดังกล่าวได้กำหนดให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดหรือเรียกชื่อย่อว่า ป.ป.ส. โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และจัดตั้งสำนักงาน ป.ป.ส. ขึ้นเป็นหน่วยงานกลางรับผิดชอบโดยตรง มีฐานะเป็นกรม กรมหนึ่งในสำนักนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันสำนักกระทรวงยุติธรรม ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
    ประเทศไทย สำนักงาน ป.ป.ส.ในฐานะหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในประเทศมาโดยตลอด ได้นำมติเรื่องวันต่อต้านยาเสพติดขององค์การสหประชาชาติเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2531 ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กำหนดวันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันต่อต้านยาเสพติดโดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 เป็นต้นมา
    วันต่อต้านยาเสพติดในประเทศไทย
    วันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2556
    ในปีนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ก็ยังได้มีการจัดกิจกรรมเนื่องในวันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2556 เพื่อให้ประชาชนรับรู้ รับทราบ และเห็นถึงความสำคัญของโทษ และพิษภัยยาเสพติด
    สำหรับศิลปินนักร้องนักแสดงที่สำนักงาน ป.ป.ส. คัดเลือกให้มาเป็นตัวแทนศิลปินต้านยาเสพติดปี 2556 ได้แก่
    โป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ
    กรีน อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล
    พิกเล็ท ชาราฎา อิมราพร
    โฟกัส โฟกัส จีระกุล
    โตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์

    คำขวัญวันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2556
    คำขวัญวันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2556 แนวคิด : "คนไทยหัวใจสีขาว ร่วมต้านยาเสพติด" ภายใต้คำขวัญ "ยาเสพติดจะพินาศ คนไทยทั้งชาติต้องร่วมมือกัน"

    วันต่อต้านยาเสพติด 2555
    วันต่อต้านยาเสพติด 2555
    วันต่อต้านยาเสพติด 2555
    วันต่อต้านยาเสพติด 2555

    วันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2555
    เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวันที่ 12 สิงหาคม 2555 รัฐบาลกำหนดให้หน่วยงานราชการ และภาคเอกชน ร่วมจัดกิจกรรมเพื่อเทิดพระเกียรติ ตลอดปี 2555 เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถที่ทรงห่วงใยต่อปัญหายาเสพติดศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ หรือ ศพส. จึงให้มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ เนื่องในวันต่อต้านยาเสพติด 26 มิถุนายน ประจำปี 2555 เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา
    สำหรับศิลปินนักร้องนักแสดงที่สำนักงาน ป.ป.ส. คัดเลือกให้มาเป็นตัวแทนศิลปินต้านยาเสพติดปี 2555 ได้แก่
    แก้มบุ๋ม พิมพ์นิภา จิตติธีรโรจน์
    เต๋อ ฉันทวิชช์ ธนะเสวี
    พรีม รณิดา เตชสิทธิ์
    เก้า จิรายุ ละอองมณี
    ฉัตร ปริยฉัตร ลิ้มธรรมมหิศร

    คำขวัญวันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2555
    คำขวัญวันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2555 คือ "พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด เทิดไท้ 80 พรรษา มหาราชินี"
    วันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2554

    คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้มีการจัดกิจกรรมเนื่องในวันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2554 เพื่อให้ประชาชนรับรู้ รับทราบ และเห็นถึงความสำคัญของโทษ และพิษภัยยาเสพติด เนื่องจากปัญหายาเสพติด จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือกัน ดำเนินงานด้านการป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด ไม่เพียงแต่จะทำให้ปัญหาเบาบางลง ยังเป็นการเทิดพระเกียรติและถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 และทรงเป็นต้นแบบในการแก้ไขปัญหายาเสพติดด้วยแนวทางการพัฒนาทางเลือกอีกด้วย
    สำหรับศิลปินนักร้องนักแสดงที่สำนักงาน ป.ป.ส. คัดเลือกให้มาเป็นตัวแทนศิลปินต้านยาเสพติดปี 2554 ได้แก่
    น้ำฝน พัชรินทร์ จัดกระบวนพล มีน พีชยา วัฒนามนตรี หนูนา หนึ่งธิดา โสภณ รถเมล์ คนึงนิจ จักรสมิทธานนท์ อั๋น วิทยา วสุไกนไพศาล
    คำขวัญวันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2554
    คำขวัญวันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2554 คือ "สานต่อพระราชปณิธาน หยุดยั้งยาเสพติด หยุดหายนะแผ่นดิน"


    วันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2553
    รัฐบาลได้ประกาศนโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติดภายใต้ยุทธศาสตร์5รั้วป้องกันฯ เป็นยุทธศาสตร์หลักในการดำเนินงาน และเพื่อเร่งรัดให้การดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นไปตามนโยบายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง สามารถลดระดับปัญหายาเสพติดและขจัดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงกำหนดให้มีแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหายาเสพติดระดับชาติเป็นแผนงานหลัก เรียกว่า "ปฏิบัติการประเทศไทยเข้มแข็ง ชนะยาเสพติดยั่งยืน ภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 รั้วป้องกัน ระยะที่ 2"
    ทั้งนี้มีเป้าหมายในการลดระดับปัญหายาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ กรุงเทพปริมณฑล และพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ลดปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดที่เป็นความเดือดร้อนของประชาชน เสริมสร้างความเข้มแข็งของกลไกชุมชน-ประชาสังคม และเสริมสร้างประสิทธิภาพการบริหารจัดการแก้ไขปัญหายาเสพติดในภาวะวิกฤติ

    สำหรับศิลปินนักร้องนักแสดงที่สำนักงาน ป.ป.ส. คัดเลือกให้มาเป็นตัวแทนศิลปินต้านยาเสพติดปี 2553 ได้แก่
    น้ำชา ชีรณัฐ ยูสานนท์
    ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์
    อ๋อม อรรคพันธ์ นะมาตน์
    มาร์กี้ ราศรี บาเลนซิเอก้า
    โจ AF2 ภานุพล เอกเพชร

    คำขวัญวันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2553
    คำขวัญวันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2553 คือ "ไทยเข้มแข็ง ชนะยาเสพติด"
    วันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2552
    สำหรับวันต่อต้านยาเสพติดปีนี้ รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ 5 รั้วป้องกัน เพื่อเป็นเกราะป้องกันยาเสพติดทุกระดับ ภายใต้แนวคิด "5 รั้วล้อมไทย พ้นภัยยาเสพติด" โดยตั้งทีมทำงานแบบบูรณาการกับหน่วยงานภาคีด้านยาเสพติด ทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งผลปฏิบัติการพบว่า สถิติการจับกุมยาเสพติดมีมากขึ้น แต่ละเดือนสามารถสกัดยาเสพติดได้เป็นแสนเม็ด โดยเฉพาะรั้วชายแดนที่สำคัญที่สุด เพราะยาเสพติดที่ใช้ในไทย ไม่ได้ผลิตในไทย แต่ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ การสกัดกั้นไม่ให้ยาเสพติดเข้ามาทางแนวชายแดนจึงเป็นการป้องกันที่สำคัญมาก
    ทั้งนี้ จะมีการจัดงานมหกรรม "5 รั้วล้อมไทย พ้นภัยยาเสพติด" ที่เมืองทองธานี ในวันที่ 26 มิถุนายนนี้ เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเรื่องยาเสพติดให้กับประชาชน ชุมชน และเยาวชน
    สำหรับศิลปินนักร้องนักแสดงที่สำนักงาน ป.ป.ส. คัดเลือกให้มาเป็นตัวแทนศิลปินต้านยาเสพติดปี 2552 ได้แก่
    คูณ คณิน บัตติยา เป็นตัวแทนรั้วชายแดน
    รุจ ศุภรุจ เตชะตานนท์ (รุจ-เดอะสตาร์) เป็นตัวแทนรั้วชุมชน
    ก้อย รัชวิน วงศ์วิริยะ เป็นตัวแทนรั้วสังคม
    พลอย ชิดจันทร์ รุจิพรรณ ตัวแทนรั้วโรงเรียน
    แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์ ตัวแทนรั้วครอบครัว
    คำขวัญวันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2552
    คำขวัญวันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2552 แนวคิด : "ทำความดี ตามคำพ่อ" ภายใต้คำขวัญ "รวมพลังประชาไทย พ้นภัยยาเสพติด"

    นอกจาก คำขวัญวันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2552-2556 แล้ว วันนี้ เรายังมีคำขวัญวันต่อต้านยาเสพติดในอดีตมาฝากอีก ดังนี้

    คำขวัญ วันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2551 คือ "รวมพลังประชาไทย พ้นภัยยาเสพติด"
    คำขวัญ วันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2550 คือ "รวมพลังไทย ขจัดภัยยาเสพติด ร่วมเทิดไท้องค์ราชัน"
    คำขวัญ วันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2549 คือ "60 ปี ทรงครองราชย์ รวมพลังไทยทั้งชาติ ขจัดยาเสพติด"
    คำขวัญ วันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2548 คือ "พลังไทย ต้านภัยยาเสพติด"
    คำขวัญ วันต่อต้านยาเสพติด ประจำปี 2545 คือ "พลังมวลชน พลังแผ่นดิน ขจัดสิ้นยาเสพติด : The Power of people can conquer illicit drugs"

    วันต่อต้านยาเสพติด


    คำขวัญวันต่อต้านยาเสพติดสากล 2550 - 2552

    คำขวัญวันต่อต้านยาเสพติดสากล ยังคงสโลแกนเดิม (เพราะมีกำหนดใช้ปี พ.ศ. 2550 – 2552) คือ

    "Do drugs control your life? Your life. Your community. No place for drugs" ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า "ยาเสพติดครอบงำชีวิตของคุณอยู่หรือเปล่า ชีวิตของคุณ สังคมของคุณ ต้องไม่มีที่สำหรับยาเสพติด"
    ส่วนคำขวัญต่อต้านยาเสพติดของไทย ประจำปี 2552 คือ "ผิดช่วยรั้ง พลั้งช่วยเตือน แนะนำเพื่อน อย่าคิดลองยา"
    โห... เห็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราร่วมมือร่วมใจกันคว่ำบาตรยาเสพติดด้วยโครงการต่าง ๆ กันขนาดนี้ เยาวชนอนาคตประเทศทั้งหลายก็ต้องช่วยกันอีกแรงด้วยนะจ๊ะ เพราะหากทุกฝ่ายในสังคมร่วมกัน อนาคตลูกหลานเหลนโหลนของเราคงจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหายาเสพติดอีก


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    - สำนักเลขาธิการ สำนักงาน ป.ป.ส.
    - irrigation.rid.go.th - spko.moph.go.th
    - mcot.net
    - kroobannok.com