วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

อสม.ทำความดี อสม.จิตอาสา

 อสม.ทำความดี อสม.จิตอาสา
 
                  อสม.คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เป็นบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกจากหมู่บ้านหรือชุมชน โดยมีการคัดเลือกบุคคลที่อยู่ในพื้นที่ ชุมชนให้การยอมรับว่ามีความเหมาะสมในการปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข เช่น การให้ข้อมูลเรื่องสุขภาพต่างๆของกระทรวงสาธารณสุข เช่น แจ้งการระบาดของโรคไข้เลือดออก แล้ว อสม.ก็พาชุมชน รณรงค์ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย แจ้งประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ เช่น เทศบาล อบต. เพื่อพ่นเคมีหรือหาแนวทางการควบคุมโรคต่อไป
อสม.มีการดูแลสุขภาพตั้งแต่เกิดจน ตาย เช่น รณรงค์ให้หญิงตั้งครรภ์มีการฝากครรภ์ตามเกณฑ์ การนำเด็กมารับวัคซีน การออกอนามัยโรงเรียน การออกเยี่ยมบ้าน ดูแลผู้สูงอายุ คนชรา คนพิการ งานเหล่านี้ อสม.จะรู้มากที่สุดเพราะผู้ป่วยหรือกลุ่มเป้าหมายเป็นคนในพื้นที่ที่ตนเองดูแลอยู่แล้ว
อสม.จิตอาสา เป็นการสมัครใจของ อสม.ที่จะเข้ามาช่วยเหลืองานเจ้าหน้าที่ที่มีล้นมือ ด้วยการช่วยเหลือด้านต่างๆตามกำลังและความสามารถ เช่น การจัดบริการ การคัดกรองสุขภาพเบื้องต้น การทำความสะอาด อาคารสถานที่ การพาหมออนามัยออกเยี่ยมบ้าน ดูแลคนในชุมชนร่วมกับทีมหมออนามัย อื่นๆอีกมากมาย
อสม.จิตอาสา จัดอาคารสถานที่และร่วมกันทำความสะอาด รพ.สต.บ้านชวน
อสม.มีการพัฒนาความรู้ การรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากทางราชการอย่างต่อเนื่อง ด้วยการประชุม อบรม สนทนากลุ่ม หรืองานกิจกรรมที่ หมออนามัยเข้ามาร่วมดำเนินงานร่วมกัน
อสม.เป็นบุคลากรที่สำคัญมากในระดับพื้นที่หรือฐานรากเพราะเป็นบุคคลในชุมชนเอง รู้แจ้ง รู้จริง รู้ลึก เรื่องข้อมูลในชุมชน ที่สุดๆ..



วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์


ท่านที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดโรคเอดส์ พฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่ การมีคู่หลายคน การมีเพศสัมพันธ์กับ เพศเดียวกัน ท่านที่ไม่รับผิดชอบ เมื่อท่านเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ท่านไม่ได้เป็นคนเดียว ท่านอาจจะนำเชื้อสู่คนที่ท่านรัก เนื่องจากโรคบางโรค ไม่มีอาการเตือน ท่านอาจจะนำเชื้อสู่คนที่ท่านรักโดยไม่ตั้งใจ โรคหลายโรคสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การเรียนรู้ถึงพฤติกรรม เสี่ยงจะทำให้ท่านสามารถหลีกเลี่ยงจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

พฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูง
หมายถึง พฤติกรรมที่จะทำให้ท่านติดโรคทางเพศสัมพันธ์ได้แก่พฤติกรรม ดังต่อ
ไปนี้
  • มีการเปลี่ยนคู่นอนหลายคน
  • เคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น
  • คู่ครองเคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ร่วมเพศกับคนที่ไม่รู้จัก
  • ดื่มสุราหรือใช้ยาเสพติดก่อนร่วมเพศ เนื่องจากจะทำให้มีการร่วมเพศที่เสี่ยงต่อ การติดโรค
  • ร่วมเพศกับผู้ติดยาเสพติด
  • ร่วมเพศทางทวารหนัก
  • ไม่สวมถุงยางขณะร่วมเพศกับคนที่ไม่ใช่ภรรยา

หากท่านเลือกคู่ครองที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ท่านสามารถลดอัตรา การติดเชื้อลงไป 5000 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ยุ่งกับ กลุ่มเสี่ยงหากคู่นอนของ ท่านมีผลการตรวจเลือดทดสอบ HIV ให้ผลลบท่านจะลดความเสี่ยงลง 100 เท่า ดังนั้นจึงมีความจำเป็น สำหรับ คู่รักก่อนที่จะมีอะไรกันควรที่จะเลือกคู่นอน ให้ดี และควรที่จะเจาะเลือดก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ การสวมถุงยางคุมกำเนิดจะลด อัตราเสี่ยงลงไป 10 เท่า


พฤติกรรมที่ปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ต้องมีสติอย่าหน้ามืด จนกระทั่งขาดสติ ไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิด หากจะร่วมเพศกับคนที่ไม่รู้ประวัติ ควรจะคิดว่า เขาอาจจะเป็นโรคติดต่อ

  • ให้งดมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่ต้องสงสัยไม่ว่าจะเป็นสามีหรือคนอื่น

  • ให้มีคู่คนเดียวโดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และหากจะมีคู่คน ใหม่จะต้องซักประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ประวัติคู่นอนคนก่อน ประวัติการใช้ยา เสพติด รวมทั้งสุขภาพปัจจุบันก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ ควรจะเจาะเลือดดูโรคเอดส์ ไวรัสตับ อักเสบบี ก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์
  • ให้สวมถุงยางถ้าไม่แน่ใจ ถ้าใช้สารหล่อลื่นต้องใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย
  • ไม่ดื่มสุราหรือใช้ยาเสพติดก่อนร่วมเพศเพราะอาจจะขาดความยั้งคิด

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การเลือกแว่นกันแดด เพื่อสุขภาพของดวงตา

การเลือกแว่นกันแดด เพื่อสุขภาพของดวงตา

การเลือกแว่นตากันแดด เพื่อสุขภาพของดวงตา
การเลือกแว่นกันแดด เพื่อสุขภาพของดวงตา
ดวงตาของเราเป็นอวัยวะที่มีความบอบบางอย่างมาก และยังเป็นอวัยวะที่สำคัญอีกต่างหาก ไม่เชื่อลองเอาผ้าปิดตาทั้งวันดูสิ รับรองว่าต้องมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของเราแน่ๆ ดวงตาเป็นอวัยวะที่เราต้องใช้เกือบตลอดเวลาโดยเฉพาะตอนกลางวัน ดวงตาจะต้องรับรังสีจากทั้งแสงแดด ซึ่งมีรังสี UV ที่สามารถทำลายเนื้อเยื่อดวงตาได้ ดังนั้น การเลือกแว่นกันแดด เพื่อปกป้องดวงตาของเราจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ วันนี้เลยจะมาเล่าเรื่องการเลือกแว่นกันแดดให้ฟังกัน

1. แว่นกันแดดควรมีเครื่องหมาย UV สิ่งสำคัญอันดับแรกของการเลือกแว่นกันแดดคือ ความสามารถในการป้องกันรังสี UV เนื่องจากรังสี UV สามารถทำลายเนื้อเยื่อของดวงตาเราได้ เป็นสาเหตุของการเป็นโรคต้อต่างๆเช่น ต้อหิน ต้อกระจก เป็นต้น หากแว่นไม่สามารถป้องกันรังสี UV ได้ ก็คงเป็นแค่แว่นที่ใส่เอาเท่ ไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่




2. ควรเป็นแว่นที่ตัดแสงสะท้อนได้ หรือ แว่นโพลาไรซ์เนื่องจากแว่นตาทิ่มีเลนส์ทำจากวัสดุต่างๆ เช่น แก้ว หรือ พลาสติกต่างๆ เวลาใส่จะทำให้เห็นแสงสะท้อนได้ เช่น แสงสะท้อนบนถนน เป็นต้น แสงสะท้อนเหล่านี้ล้วนเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ วิธีเช็คว่ามันเป็นโพลาไรซ์แท้ ก็คือ เอาแว่น ส่องไปบนผิวสะท้อนแสง ที่เป็นอโลหะ เช่น ถนน หรือพลาสติกเมื่อหมุนไปถึงองศาที่เหมาะสม แสงสะท้อนจากอโลหะนั้นจะลดวูบลงนี่คือโพลาไรซ์ของแท้ แต่โพลาไรซ์มันก็มีหลายเกรด ลดแสงสะท้อนได้มาก ก็ราคาสูงขึ้นมาหน่อย ลดแสงได้น้อย ก็จะถูกหน่อย แต่เทคโนโลยีและราคา ต่างกันไม่มากหรอก

3.สีของเลนส์แว่น สีของเลนส์แว่น มีผลต่อการทำให้มองสิ่งต่างๆผิดเพี้ยน ซึ่งหากอาจเป็นอันตรายเพราะจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย (พวกสัญญานไฟจราจรเป็นต้น) สีที่ควรเลือกคือ สีน้ำตาล(ชา) หรือสีออกดำๆ เพราะทำให้เกิดการผิดเพี้ยนของสีน้อยสีสุด ส่วนสีที่ไม่แนะนำคือ สีเขียวและสีน้ำเงิน

4.ขนาดของกรอบ เป็นสิ่งหายากที่นักวิทยาศาสตร์สุขภาพ กับ แฟชั่นนิส จะเห็นตรงกันคือ การเลือกกรอบแว่นควรเลือกกรอบใหญ่ๆเข้าไว้ เพราะ กรอบใหญ่ๆ จะทำให้มีพื้นที่ปกป้องผิวรอบดวงตาจา่กรังสี UV ด้วย ยิ่งตอนนี้ แฟชั่นเด็กเนิร์ด กำลังมาแรง หามาใส่สักอันคงจะดีมิน้อย

ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญของเรา ยังไงก็ดูแลรักษาดวงตาให้ดีๆนะครับ ^^ คราวหน้าจะมาแบ่งปันความรู้เรื่องสุขภาพเรื่องไหน ติดตามชมกันนะครับ ^^

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

โรคคอตีบ คืออะไร



โรคคอตีบ คืออะไร  อาการของโรค  สาเหตุการเกิดโรค จะมีแนวทางการป้องกันโรค อย่างไร

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พฤติกรรมและปัจจัยเสี่ยง ต่อการเกิดโรคทางเพศสัมพันธ์

 


เอดส์ หรือ AIDS (Acquired Immuno Deficiency Syndrome)


เป็นกลุ่มอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเพราะร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเอดส์เอชไอวี (HIV) ซึ่งจะเข้าไป ทำลายเม็ดเลือดขาว ที่เป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคลดน้อยลง จึงทำให้ติดเชื้อ โรคฉวยโอกาสแทรกซ้อนเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรคในปอด หรือต่อมน้ำเหลือง เยื่อหุ้ม สมองอักเสบจากเชื้อรา โรคผิวหนังบางชนิด หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ ซึ่งสาเหตุ ของการเสียชีวิตมักเกิดขึ้นจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆ เหน่านี้ ทำให้อาการจะรุนแรง และเสีย ชีวิตอย่าง
HIV (Human Immunodeficiency Virus) สามารถแบ่งตัวในเซลล์ของคน เช่น เม็ดเลือดขาว เซลล์สมอง เมื่อติดเชื้อร่างกายจะสร้างภูมิต้านทาน (Antibody) ต่อต้านเชื้อไวรัส แต่ไม่สามารถ กำจัดให้หมดไป เชื้อยังคงอยู่ในเม็ดเลือดและแพร่ต่อไปได้ และจะไปทำลายเม็ดเลือดขาว ซึ่งมี ความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมการทำงานของระบบภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทาน ลดลง
เชื้อไวรัสเอดส์ สามารถอาศัยหรือทำให้เกิดโรคในคนเท่านั้น ไม่สามารถทำให้เกิดโรคในสัตว์อื่น เมื่อออกนอกร่างกายคนแล้ว จะ ไม่สามารถทนสภาพแวดล้อมภายนอกได้ อาจมีชีวิตได้นานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันเท่านั้น ขึ้นอยู่กับ อุณหภูมิความร้อน ความเย็น สภาวะกรด ด่าง ความแห้ง ความชื้น เช่น ถูกความร้อน 56 องศาเซลเซียส นาน 10-15 นาที เชื้อก็ตายหมด นอกจากนี้ยังทำลาย ได้ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ เช่น น้ำยาซักผ้าขาว (โซเดียมไฮโปคลอไรท์ 5%)
เชื้อไวรัสเอดส์ พบมากที่สุดในเลือด น้ำเหลือง เนื้อเยื่อต่างๆ รองลงมาคือ น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด ส่วนน้ำลาย เสมหะ น้ำนม มี ปริมาณไวรัสเอดส์น้อย สำหรับเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ แทบไม่พบเลย แม้ว่าเชื้อเอดส์จะปะปนในของเหลวที่ออกจากร่างกาย แต่พบว่าโอกาสแพร่โรคมีเฉพาะทางเลือด น้ำอสุจิ และน้ำในช่องคลอดเท่านั้น
การร่วมเพศกับผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ไม่ว่าชายกับหญิง ชายกับชาย หรือหญิงกับหญิง ทั้งช่องทางธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติ ก็ล้วนมีโอกาสติดโรคนี้ได้ทั้งสิ้น และปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อมากขึ้น ได้แก่ การมีแผลเปิด และจากข้อมูลของกอง ระบาดวิทยาพบว่า ร้อยละ 83 ของผู้ป่วยเอดส์ได้รับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์

การรับเชื้อทางเลือด

การรับเชื้อทางเลือด โอกาสติดเชื้อขึ้นอยู่กับปริมาณไวรัสในเลือด พบได้ 2 กรณี คือ

  1. ใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ มักพบในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีดเข้า เส้น
  1. รับเลือดในขณะผ่าตัดหรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด ในปัจจุบันเลือดที่ได้รับบริจาคทุก ขวดเกือบ 100% (โอกาสตรวจผิดหรือเลือดมีเชื้อ แต่ยังไม่ให้ผลบวกมีน้อยมาก)
  1. การรับอวัยวะของผู้มีเชื้อเอดส์หรือการผสมเทียม

การแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก


ผู้หญิงสามารถติดเชื้อเอดส์ได้จากสามี คู่รัก คู่นอน หรือพฤติกรรมเสี่ยงของตนเอง พบว่าอัตราการ ติดเชื้อเอดส์ในหญิงมีครรภ์ประมาณร้อยละ 1.46 (มิถุนายน 2543) และสามารถถ่ายทอดให้ทารกได้
ทั้งในขณะตั้งครรภ์ ขณะคลอดและภายหลังคลอดประมาณร้อยละ 60 ในขณะนี้มีวิธีป้องกันการแพร่ เชื้อเอดส์จากแม่สู่ลูกได้โดยการกินยาต้านไวรัส ในช่วงอายุครรภ์ 3-4 สัปดาห์ ไปจนคลอด สามารถ ลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ลงได้ร้อยละ 30 เหลือเพียงร้อยละ 8 แต่ถึงอย่างไร ก็ยังคงมีความ เสี่ยงอยู่ดี ดังนั้นวิธีที่ดีทีสุดคือ การตรวจเลือดก่อนตัดสินใจตั้งครรภ์ทุกครั้ง ในระยะหลังคลอด เด็ก สามารถได้รับเชื้อเอดส์จากแม่ทางน้ำนมได้ องค์การอนามัยโลกจึงแนะนำให้ใช้นมผงแทน เพื่อลด โอกาสเสี่ยงดังกล่าว
 

การมีเพศสัมพันธ์

พบว่าโอกาสที่จะแพร่โรคมีเฉพาะทางเลือดน้ำกามและน้ำในช่องคลอดเท่านั้น ช่องทาง การติดต่อโรคที่สำคัญมี 2 ทาง คือ

การร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื่อโรคเอดส์ ไม่ใช้ถุงยางอนามัย ไม่ว่าชายกับหญิง ชายกับชาย หญิงกับหญิง ร่วมมีโอกาสติดเชื้อได้ทั้งสิ้น และปัจจัยที่ทำให้มีการติดเชื้อได้มากขึ้น คือ การมีบาดแผลฉีกขาดระหว่างร่วมเพศ หรือการมีแผลจากกามโรคอยู่เดิม

วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อาหารเพื่อสุขภาพ ประโยชน์ของการกินตับ เรามากินตับกันเถอะ

อาหารเพื่อสุขภาพ ประโยชน์ของการกินตับ เรามากินตับกันเถอะ

ไปเที่ยวกันไหม.... จะไปก็รีบไป.....ไปกับพี่แล้วสบาย เด๋วพี่พาไปกินตับ ตับๆๆๆๆๆๆ เมื่อประมานเดือนที่แล้วเพลงนี้เป็นอะไรดังมากๆ สร้างความบันเทิงและกระแสการกินตับอย่างกว้้างขวาง 555 วันนี้จึงหยิบยกประเด็นประโยชน์จากการกินตับมาเล่าให้ฟัง

มากินตับกันเถอะ
ตับนั้นมีประโยชน์มากมาย จัดได้ว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพชั้นดีอย่างหนึ่ีงก็ว่าได้ จะเห็นได้ว่าพ่อแม่มักจะให้เด็กเล็กๆทานตับบดเป็นอาหาร อีกทั้งตับยังสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ตับปิ้ง ตับหวาน ใส่ในผัดผักต่างๆไม่ว่าจะเป็นผัดขิงใส่ตับไก่ เป็นต้น นอกจากนี้ในสุกี้ Mk ยังมีตับขายเลย เอาตับสดมาลวกในหม้อสุกี้เดือดๆให้พอสะดุ้ง หวานอย่าบอกใครเชียว อร่อยขนาดไหนก็ตุ๊กแกยังชอบกินตับเลย ... 5555

ส่วนประกอบส่วนใหญ่ของตับก็จะเป็นโปรตีน ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อใช้ในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
นอกจากนี้ตับยังเป็นแหล่งรวมของวิตามินที่มีประโยชน์ เช่น วิตามินเอ ช่วยสร้างและบำรุงรักษาผิวหนังและผนังเยื่อจมูก ช่องในลำไส้ ทำให้เนื้อเยื่อในตาแข็งแรง


วิตามิน บี 2 ทำให้ผิวมีสุขภาพดี สายตาดี มองเห็นได้ชัดในที่ที่มีแสงสว่างน้อย
วิตามิน บี 3 ทำให้ผิวหนัง ประสาท และลำไส้มีสุขภาพดี ระบบย่อยเป็นปกติ ทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิตามิน บี 5 ทำให้ร่างกายนำคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุด
วิตามิน บี 6 สร้างเม็ดเลือดแดงใหม่ๆ ให้กับร่างกาย
วิตามิน บี 12 บำรุงประสาทให้แข็งแรง ทำให้สมองทำงานได้ดี ความจำดี และทำให้การสร้างเลือดเป็นปกติ

ที่สำคัญ ตับจะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบหมุนเวียนเลือด ช่วยเสริมสร้างฮีโมโกบิน (Hemoglobin) ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดงที่ไว้ใช้จับกับออกซิเจนเพื่อให้ออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ดังนั้นผู้ที่เสียเลือดมากเช่นผู้หญิงที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือน ก็ควรทานตับเพื่อช่วยเสริมสร้างการสร้างเม็ดเลือดที่เสียไป

แต่ถึงแม้ตับจะมีประโยชน์มากมาย แต่หากรับประทานมากไปก็ส่งผมเสียได้เช่นกัน อะไรที่มันเกินไปมักจะไม่ดีเสมอเนื่องจากตับเป็นส่วนที่กำจัดสารพิษ ซึ่งอาจจะมีสารพิษตกค้างได้บ้าง นอกจากนี้ ตับไก่ มีสารที่เรียกว่า อะมิโน-พาราเอ็ธฟีนอล (Amino-paraethenol) สารชนิดนี้มีฤทธิ์ต่อ หลอดเลือดแดงในสมองทำให้แข็งตัว ถ้ากินตับไก่มากเกินไป ก็อาจจะทำให้มีอาการของ โรคไมเกรน มีอาการปวดหัวข้างเดียวเป็นเวลานาน จนกระทั่งอาจเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือตาบอดข้างเดียวตามมาได้ รู้อย่างนี้แล้ว ใครที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดในสมองโรคความดันโลหิตสูง และผู้ที่มีอาการปวดหัวข้างเดียวบ่อย ๆ ควรหลีกเลี่ยงการกินตับไก่ และผู้ป่วยที่เป็น thalassemia ที่ได้รับเลือดเป็นประจำไม่ควรกินตับเพราะทำให้เหล็กเกิน ไปสะสมในอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ อาจทำให้หัวใจล้มเหลวได้

ตับเป็นอาหารเพื่อสุขภาพมีประโยชน์ต่อร่างกาย พวกเรามากินตับกันเถอะ แต่ก็ควรปรุงให้สุกก่อนนะครับ ไม่งั้นอาจจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นปอบได้นะครับ หากบล๊อกและบทความนี้มีประโยชน์ ยังไงก็คอยติดตามบล๊อกสุขภาพของผมในตอนต่อไปด้วยนะครับ

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

10 สุดยอดอาหารที่ควรทานทุกวัน

10 สุดยอดอาหารที่ควรทานทุกวัน

อาหารเพื่อสุขภาพ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ไม่ว่าใคร ๆ ก็ล้วนแล้วอยากจะมีสุขภาพที่ดีไม่ต่างกัน ดังนั้น การดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกาย และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จึงเป็นวิธีง่าย ๆ ที่หลาย ๆ คนเลือกใช้ และที่สำคัญ มันให้ผลลัพธ์ที่ดีซะด้วยสิ โดยเฉพาะเรื่องการรับประทานอาหารที่ทำให้สุขภาพดีจากภายใน ยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้ทุกวันเลยล่ะ

อ๊ะ ๆ แต่รู้มั้ยคะว่า นอกจากการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่แล้ว หากคุณได้รับประทาน "สุดยอดอาหาร" ในทุก ๆ วันแล้ว ยิ่งทำให้คุณมีสุขภาพดีมากขึ้นไปอีก เอ? ว่าแต่สุดยอดอาหารที่ว่านี้ คืออะไร อิอิ.. ตามไปดูพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

เบอร์รี่


1. เบอร์รี่

แม้ว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จะเคยเป็นผลไม้ที่หาทานได้ยากในบ้านเรา แต่ในสมัยนี้เห็นจะไม่ใช่อย่างนั้นแล้วล่ะค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้เค้ามีขายกันเกลื่อนตามห้างสรรพสินค้า และท้องตลาดบางแห่งด้วยแน่ะ คุณ ๆ รู้ไหมคะว่า ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นั้น ช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารได้มากเลยทีเดียว แถมยังมีแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ และที่สำคัญ ยังมีวิตามิน C ที่ช่วยในเรื่องผิวพรรณและหวัดอีกด้วย

ไข่ไก่

2. ไข่ไก่

ไข่ไก่เป็นสุดยอดอาหารที่หาง่ายมาก ๆ แถมยังราคาถูกอีกแน่ะ คุณ ๆ รู้ไหมว่า ไข่ไก่นั้นเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพสูง ที่ทำให้คุณได้พลังงานแต่ไม่อ้วน แถมมีประโยชน์ในการบำรุงสายตา อ้อ แถมยังมีลูทีนที่จะป้องกันผิวคุณจากการทำลายของแสงแดดอีกด้วย

ถั่ว

3. ถั่ว

ถั่วเป็นแหล่งของเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยในการส่งผ่านออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย โดยในถั่ว 1 ถ้วย จะให้ธาตุเหล็กประมาณ 16 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่สูงเลยทีเดียว นอกจากนี้ ถั่วยังมีไฟเบอร์ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ง่ายอีกด้วย

มะม่วงหิมพานต์

4. อัลมอนต์ แม็คคาเดเมีย และมะม่วงหิมพานต์

เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ จากการศึกษาของนักโภชนาการ พบว่า ผู้ที่รับประทานเมล็ดพืชเหล่านี้จะมีอายุยืนกว่าผู้ที่ไม่ได้ทานถึง 2 ปีครึ่งเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีโอเมก้า 3 เอแอลเอ ที่จะส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้น ที่สำคัญยังช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีด้วย

ส้ม


5. ส้ม

เป็นแหล่งวิตามิน C คุณภาพ ที่มีประโยชน์ต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว และช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค รวมทั้งยังมีไฟเบอร์สูง เป็นแหล่งของแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ ที่จะช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกทำลาย และเสริมสร้างคอลลาเจนในผิว เรียกว่าคุณประโยชน์ครบครันเลยทีเดียว

มันเทศ

6. มันเทศ

อาหารที่หาได้ง่าย แถมยังให้ประโยชน์มากมายกับสุขภาพอีก มันเทศเป็นแหล่งเบตาแคโรทีนชั้นดีที่ช่วยในการบำรุงสายตา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และที่หลาย ๆ คนคิดไม่ถึง คือ มันเทศมีสารต้านมะเร็งสูงอีกด้วยค่ะ

บร็อกโคลี

7. บร็อคโคลี่

เป็นแหล่งของวิตามินซี เอ และเค เป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา และมีสารไอโซธิโอไซยาเนทส์ (Isothiocyanates) ที่ช่วยต่อต้านมะเร็งปอด รวมถึงมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ วิตามินเคยังเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกด้วย

ชา

8. ชา

แม้ว่าชาจะเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ไม่ได้ให้ผลดีต่อสุขภาพเท่าไหร่ แต่รู้ไหมว่า การดื่มชาในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นอัลไซเมอร์ มะเร็ง และทำให้สุขภาพฟันและกระดูกแข็งแรงขึ้น เพราะในชานั้นมีสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่เรียกว่า ฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพ

คะน้า

9. คะน้า

มีสารเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด รวมถึงมีวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สร้างภูมิต้านทานโรคที่ดี นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมเสริมสร้างการทำงานของกระดูก

โยเกิร์ต

10. โยเกิร์ต

อาหารสุขภาพที่หลาย ๆ คนมักจะซื้อไว้ติดบ้าน เอาไว้ทานยามหิว และนั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ เพราะในโยเกิร์ตนั้นมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามินบี 12 และโปรตีน ดังนั้น ถ้าคุณทานโยเกิร์ตให้ได้วันละ 1 ถ้วย จะทำให้สุขภาพคุณดีอย่าบอกใครเลยล่ะ

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โรคกรดไหลย้อน อันตรายใกล้ตัวกว่าที่คิด

โรคกรดไหลย้อน อันตรายใกล้ตัวกว่าที่คิด



โรคกรดไหลย้อน

สวัสดีครับ ยังไม่ค่อยมีเวลาอัพบทความอีกแล้ว ด้วยเหตุผลทางสุขภาพกับโรคที่กำลังจะพูดถึง นั่นก็คือ "โรคกรดไหลย้อน"

โรคกรดไหลย้อน จะเป็นการที่กรดในกระเพาะอาหารที่ร่างกายของเราหลั่งออกมาเพื่อย่อยอาหารที่เราทานเข้าไป เกิดไหลย้อนออกมาบริเวณหลอดอาหาร ซึ่งมีความบอบบางไม่ถึงบึกบึนเหมือนกระเพาะอาหาร หลอดอาหารเมื่อโดนกรดก็จะเกิดการอักเสบปวดแสบปวดร้อนบริเวณหน้าอกหรือมีอาหารปวดท้องร่วมด้วย ใครไม่เคยเป็นคงไม่รู้ถึงความทรมาน T^T

สาเหตุของการเกิดกรดไหลย้อน เกิดจากการที่หูรูดที่ปิดระหว่างกระเพาะอาหารกับหลอดอาหารหรือ Sphincter พังเอ้ยเสื่อมไม่ว่าด้วยสาเหตุใด กรดจึงสามารถย้อนมาที่หลอดอาหาร ทำให้หลอดอาหารเกิดการอักเสบ บางครั้งอาจลามไปถึง กล่องเสียงและคอได้ด้วย


อาการของโรคกรดไหลย้อน คนเป็นโรคกรดไหลย้่อนมักจะปวดแสบปวดร้อน บริเวณหน้าอก เวลาทานอาหารก็กลืนลำบากและรู้สึกเจ็บ จะรู้สึกรสขมของน้ำดีหรือ รสเปรี้ยวของกรดในปากในคอ จุกเสียดแน่นหน้าอกเหมือนอาหารไม่ย่อย เรอและคลื่นใส้บ่อยๆ หากกรดย้อนมาที่คอ จะทำให้เสียงแหบหรือเสียงเปลี่ยน ไอเรื้อรัง เป็นต้น

วิธีการรักษาโรคกรดไหลย้อน
การรักษาก็ต้องไปหาหมอ และทำตามที่หมอบอกเหอะ ครับ งานรักษาเป็นงานของหมอ เรารักษาเองไม่ได้แน่ๆ เหอะๆ รายที่เป็นหนักๆต้องผ่าตัดเลยทีเดียว แต่!! เราสามารถป้องกันได้ง่ายๆ โดย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆน้อยๆ

วิธีการป้องกันง่ายๆ ไม่ให้เป็นกรดไหลย้อน
1. หลีกเลี่ยงทานอาหารมื้อใหญ่ แต่เปลี่ยนมาทานมื้อเล็กๆ หลายๆมื้อแทน ทำให้น้ำย่อยไม่หลั่งมากเกินไป

2. ทานมื้อค่ำให้เร็วขึ้นอีกนิด ไม่นอนทันทีหลังทานอาหาร เวลาเราอยู่ในท่านอนหลังทานอาหาร จะทำให้เกิดการไหลย้อนของกรดได้มากขึ้น

3. ลดเครียด ความเครียดทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรด มากขึ้นและไม่เป็นเวลา เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคกระเพาะด้วย

4. นอนหัวสูงอีกนิด เอียงที่นอนด้านหัว ให้สูงกว่า ด้านเท้า 6 - 8 นิ้ว (เอียงทั้งตัวนะครับ ไม่ใช้หนุนแต่หัว)

5. งด แอลกอฮอล์ บุหรี่ และ น้ำอัดลม นี่ก็เป็นตัวกระตุ้น ทำให้เกิดการหลั่งน้ำย่อย

6. ไม่สวมเสื้อผ้าคับเกิดไป เสื้อผ้าที่มันรัดๆ นอกจากจะอึดอัดแล้ว อาจจะทำให้กรดไหลย้อนได้เนื่องจากแรงดันอีกด้วย

วิธีง่ายๆ แต่ทำให้ห่างไกลจากโรคกรดไหลย้อนได้ ยังไงก็ดูแลตัวเองด้วยนะครับ ปีนี้ประเทศไทยเจอน้ำท่วมใหญ่ แล้ว คาดว่าจะหนาวมากอีกด้วย เนื่องจากปีไหนน้ำมากมักจะหนาวมากอีกเช่นกัน แล้วจะมาพูดถึงวิธีดูแลตัวเองในหน้าหนาวนะครับ ^^

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อาหารเพื่อสุขภาพ การกินอาหารตามกรุ๊ปเลือด

อาหารเพื่อสุขภาพ การกินอาหารตามกรุ๊ปเลือด




กินตามกรุ๊ปเลือด กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ที่ได้รับความนิยมของ Dr.Perer J.D'Adammo ซึ่งได้รับรางวัลแพทย์ธรรมชาติบำบัดยอดเยี่ยมจากอเมริกา ปี 1990 เขาใช้เวลาในการศึกษาเรื่องนี้มานานกว่า 30 ปี จนได้ข้อสรุป และเขียนเป็นหนังสือ Eat Right for your Type เขาอธิบายว่า เลือดแต่ละกรุ๊ปมีสารเคมีในเลือดต่างกัน แต่จะมี Antigen เป็นตัวกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ซึ่งอาหารทุกชนิดล้วนมีโปรตีนซึ่งเป็นอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติเหนียว และจับเกาะติดเลือดเรียกว่า "เล็คติน" ถ้าการกินอาหารที่มีเล็คตินไม่เหมาะสมกับเลือดเรา เล็คตินเหล่านั้นยังเข้าไปรบกวนการทำงานของระบบย่อยอาหาร การสร้างอินซูลิน การเผาผลาญอาหาร และความสมดุลของฮอร์โมน


คุณสุวิมล สุธีโสภณ ต้นตำรับอาหารแนว blood type cuisine ในชื่อ The Third Floor อาคารวีรสุ ถนนวิทยุ เป็นผู้ที่ศึกษา และทดลองกินอาหารตามกรุ๊ปเลือดมานานกว่า 3 ปี เธอบอกว่ากินแบบนี้ไม่ทรมานตัวเองจนเกินไป ขณะที่กินอาหารแนวอื่น อาจจะทำให้เรารู้สึกเครียดเพราะความอยากกิน แต่วิธีนี้เพียงแต่เรากินของที่ห้ามให้น้อยลง และกินของมีประโยชน์ให้มากขึ้น ซึ่งผลพลอยได้คือน้ำหนักลด โรคปวดตามข้อค่อย ๆ หายไป

หลายคนที่เอาหลักการนี้ไปแล้วลองทำกับข้าวกินเองชมว่า เขาน้ำหนักลดลง ไปกินอาหารนอกบ้านก็ไม่ลำบาก เพราะเราสามารถเอาหลักการกินตามกรุ๊ปเลือดไปปรับใช้ได้

กรุ๊ป A นักมังสวิรัติดี ๆ นี่เอง

คนเลือดกรุ๊ปนี้ส่วนใหญ่จะมีกรดในกระเพาะต่ำ ทำให้ระบบการย่อยไม่ค่อยดี ระบบภูมิคุ้มกันก็ไม่ดี มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และมะเร็ง กรุ๊ปเอจึงถูกจัดเป็นมังสวิรัติ

อาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด
กินปลาอาทิตย์ละ 3-4 ครั้งเพื่อเสริมโปรตีน หลีกเลี่ยงปลาเนื้อขาว เช่น ปลาตาเดียว หรือปลาจะละเม็ด เพราะมีเล็คตินรบกวนระบบการย่อย หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ต่าง ๆ อาจกินได้นิดหน่อย เลือกดื่มนมถั่วเหลือง นมแพะ หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำ แทนนมวัว กินไข่ได้บ้างเป็นครั้งคราว บรรดาตระกูลถั่วต่าง ๆ อาทิ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ถั่วลิสงที่มีเยื่อหุ้มบาง ๆ และถั่วเหลือง เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปนี้ สามารถกินข้าวกล้องหรือซีเรียลได้วันละ 1-2 ครั้ง ผักทั้งสด และสุกกินแล้วดีโดยเฉพาะหอมหัวใหญ่ และบร็อคโคลี มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง แครอท ฟักทอง ผักโขม และกระเทียม ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน

กินผลไม้แทบทุกชนิด ยกเว้นแตงโม แคนตาลูป มะม่วง มะละกอ กล้วย ส้ม เพราะย่อยยาก พวกชาสมุนไพรจะไปเพิ่มกรดในกระเพาะ ไวน์แดงดื่มได้ แต่ควรเลี่ยงเบียร์ และน้ำอัดลม

กรุ๊ป B อ้วนง่าย

คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้ ส่วนใหญ่มีปัญหากับไวรัส และภูมิคุ้มกันบกพร่อง ระบบประสาทไม่ค่อยดี ชอบปวดตามข้อ ซึ่งไม่ใช่อาการของเกาต์หรือรูมาตอยด์ มีโอกาสเกิดโรคแผลในสมอง (sclerosis) หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง

อาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด
เนื้อกระต่าย กวาง แกะ ไก่งวง ควรกินปลาน้ำลึก เช่น ปลาหิมะ และปลาเนื้อขาว อย่างปลาจะละเม็ด ปลาตาเดียว หลีกเลี่ยง เนื้อหมู ไก่ หอยเชลล์ กุ้ง ปู หอยแครง เพราะจะรบกวนระบบในร่างกาย สามารถกินนม เนย ไข่ ในปริมาณที่เหมาะสมได้ ข้าวโอ๊ต และข้าวกล้องดีต่อคนเลือดกรุ๊ปนี้ขณะที่แป้งสาลี ถั่วลิสง และโฮลวีท ไม่ดีต่อระบบเผาผลาญของร่างกายทำให้อ้วนและไม่ดีต่อเลือด อาจเป็นสาเหตุของโรคเส้นโลหิตแตกควรลองแป้งสเปลท์ (spelt) ซึ่งเป็นแป้งที่มีคุณค่าทางสารอาหาร และมีไฟเบอร์สูง ผักใบเขียวทุกชนิดกินดีหมด เพราะมีแมกนีเซียมช่วยป้องกันอาการผื่นคัน แต่ถ้าอยู่ระหว่างไดเอ็ทควรหลีกเลี่ยงมะเขือเทศ และข้าวโพด เพราะมีผลต่อการสร้างอินซูลิน และระบบเผาผลาญ

กินผลไม้ได้แทบทุกชนิด ยกเว้น ลูกพลับ ทับทิม และลูกแพร์ ชาสมุนไพรที่ให้ประโยชน์คือ ขิง เปปเปอร์มิ้นต์ โสม ชาเขียว

กรุ๊ป O High Protein

ปัญหาของคนเลือดกรุ๊ปนี้คือ กระเพาะมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อได้ดีกว่าเลือดกรุ๊ปอื่น แต่ระบบการเผาผลาญไม่ค่อยดี ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ไม่ค่อยคงที่ จึงทำให้อ้วนง่าย ตามติดมาด้วยปัญหาเลือดแข็งตัวช้า

อาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด
เลือกกินเนื้อได้ตามใจชอบ กินอาหารทะเลได้เป็นประจำ เพื่อป้องกันโรคเลือดไม่แข็งตัว และไทรอยด์ แต่ระวังเรื่องไขมันและโคเรสเตอรอลด้วย กินนม เนย ไข่ในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าอยากผอมต้องเลี่ยงแป้งสาลี ข้าวโอ๊ต และบรรดาถั่วต่าง ๆ ผัก กินได้แทบทุกชนิด โดยเฉพาะบร็อคโคลี ผักโขม มีวิตามินเคสูง ช่วยให้เลือดแข็งตัว ส่วนผักตระกูลกะหล่ำควรหลีกเลี่ยงเพราะมีผลต่อไทรอยด์ เห็ดหอมและมะกอกดองทำให้เกิดอาการแพ้ มะเขือยาว และมันฝรั่งทำให้ปวดข้อ

ผลไม้กินได้แทบทุกชนิดโดยเฉพาะตระกูลเกรปฟรุต ตระกูลเบอร์รี่ (ยกเว้นแบล็คเบอร์รี่) ช่วยลดน้ำหนัก ควรเลี่ยงแคนตาลูป มะพร้าว ส้ม และสตรอเบอร์รี่ เพราะมีกรดสูงเกินไป ชา สมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพ อาทิเปปเปอร์มินท์ Licorice Tea Parsley ฯลฯ ไม่ควรดื่มเบียร์ ชา กาแฟ เพราะจะเพิ่มกรดในกระเพาะให้หนักเข้าไปอีก

กรุ๊ป AB มังสวิรัติ และคาร์โบไฮเดรต

กรุ๊ปนี้เป็นการผสมผสานระหว่างกรุ๊ปเลือด A กับ B ดังนั้นวิธีการกินที่เหมาะสมกับคนกรุ๊ปนี้เป็นการผสมผสานการกินมังสวิรัติหน่อย ๆ กับการกินแบบกรุ๊ปบี นิด ๆ คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้มีจุดอ่อนเรื่องสุขภาพอยู่ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และกรดในกระเพาะต่ำ

อาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด
ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง และเต้าหู้ สามารถกินเนื้อแกะ กวาง กระต่าย และไก่งวงได้นิดหน่อย ไม่ควรกินปลาเนื้อขาว และแซลมอนรมควัน เพราะย่อยยากและเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร สามารถกิน นม เนย ไข่ และโยเกิร์ตไขมันต่ำได้ จำพวกข้าว ข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรงดเว้นการกินถั่วแดง งา เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ข้าวโพด เพราะจะชะลอการทำงานของอินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงเฉียบพลัน ผักสดกินได้แทบทุกชนิด ช่วยป้องกันมะเร็ง และโรคหัวใจ

ผลไม้กินได้ดีเป็นบางอย่าง อาทิ องุ่น พลัม ตระกูลเบอร์รี่ สับปะรด ส้มโอ ฯลฯ เพราะช่วยสร้างความสมดุลของกรดในเนื้อเยื่อ ไม่ควรกินกล้วย มะม่วง ฝรั่ง ส้ม

โดย : ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทย

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับการทานอาหารเพื่อสุขภาพ

เคล็ดลับการทานอาหารเพื่อสุขภาพ




แนวโน้มของการบริโภคในปัจจุบันกำลังวิ่งตามกระแสสังคมสมัยใหม่ที่อาศัยความสะดวกรวดเร็วเป็นหลัก ไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของคุณประโยชน์เท่าใดนัก ทั้งกินมากเกินไป กินน้อยเกินไป และกินอาหารที่ไม่มีคุณค่า ในที่สุดก็เกิดปัญหาสุขภาพตามมา


การกินอาหารจึงมิใช่การกินเพื่อให้อิ่มหรือเพื่อสนองความอยากเท่านั้น แต่จำเป็นที่ต้องกินเพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง ไม่เป็นโรค และมีจิตใจแจ่มใส อย่างที่เรียกกันว่า "อาหารเพื่อสุขภาพ"

1. อย่าละเลยอาหารเช้า ถือเป็นมื้อที่จะละเลยไม่ได้ เพราะช่วงเวลาจากอาหารเย็น (เมื่อวาน) ถึงเช้านี้ค่อนข้างจะไกล แม้จะเป็นช่วงที่ร่างกายได้หลับนอนพักผ่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าระบบต่าง ๆ ของร่างกายจะหยุดทำงานตามไปด้วย เพราะฉะนั้น อาหารเช้าจึงจำเป็นอย่างยิ่ง และควรเป็นมื้อที่มีคุณค่าครบ 5 หมู่ อาหารเช้ายังช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้นอีกด้วย

2. ปรุงอาหารให้แตกต่างหลากหลาย แม้ข้าวเป็นอาหารหลัก แต่ถ้าสามารถเลือกทานข้าวซ้อมมือได้จะยิ่งดี เพราะอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ โปรตีน และใยอาหาร แต่ละมื้อควรปรุงอาหารให้แตกต่างกันบ้าง เพื่อเพิ่มรสชาติให้อร่อยถูกปาก และร่างกายยังจะได้รับคุณค่าทางอาหารเพิ่มขึ้นด้วย หรือเพียงเปลี่ยนเครื่องปรุงประเภทน้ำมันพืช ก็จะช่วยให้ได้สารอาหารอีกหลายชนิดคือ วิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร และยังให้ประโยชน์ทางด้านสมุนไพรที่ช่วยรักษาสุขภาพ

3. การดื่มน้ำให้มาก นับเป็นผลดีต่อร่างกาย ในแต่ละวันจึงควรดื่มน้ำให้ได้ประมาณวันละ 8 แก้ว เพื่อให้มีน้ำมากพอที่จะหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น

4. เสริมแคลเซียมให้ร่างกาย ด้วยอาหารที่ปรุงจากปลาตัวเล็ก เต้าหู้ หรือผักใบเขียว อาหารประเภทนี้ให้คุณค่าแคลเซียมสูง ซึ่งจำเป็นต่อร่างกายในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก

5. งดขนมขบเคี้ยวที่ไร้สารอาหาร แต่เต็มไปด้วยไขมันและน้ำตาล ซึ่งจะไปทำลายสุขภาพ ลองเปลี่ยนพฤติกรรมการกินจุกจิกจากขนม หรือลูกอมมาเป็นผลไม้ จะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายได้อย่างดี เพราะมีวิตามินและไฟเบอร์ ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย

6. ทานข้าวกล้องและธัญพืชเพื่อสร้างพลังแก่ร่างกาย ข้าวกล้องได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมของวิตามิน แร่ธาตุ โปรตีน และใยอาหาร หรือจะเป็นธัญพืช เช่น เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่าง ลูกเดือย ข้าวกล้อง ฯลฯ จะช่วยลดคลอเลสเตอรอลและควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. เพิ่มผักและผลไม้ในแต่ละมื้อ เพราะนอกจากจะเต็มไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ โปรตีน และใยอาหารแล้ว ยังมีสารช่วยชอลอการเสื่อมของเซลล์ ทำให้มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส อ่อนกว่าวัย และยังมีคุณค่าด้านสมุนไพรรักษาสุขภาพ

8. เลือกปลาตัวเล็กและเนื้อไม่ติดมันมาปรุงอาหาร เพื่อจะได้กินอาหารที่ให้โปรตีนสูง ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และยังช่วยบำรุงเซลล์สมอง ที่สำคัญยังมีไขมันน้อยอีกด้วย

9. ระวังสารปนเปื้อนในอาหาร สารปนเปื้อนต่าง ๆ ทำให้เราไม่ปลอดภัยจากเชื้อโรคพยาธิ สารพิษและสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ดังนั้นจึงควรเลือกกินอาหารที่สะอาด การผลิตถูกต้อง และยังไม่หมดอายุ

ทั้ง 9 ข้อที่แนะนำเป็นเพียงแนวทางเท่านั้น ยังคงต้องอาศัยความยืดหยุ่นต่าง ๆ ของแต่ละบุคคล แต่ก็อย่าลืมว่าสุขภาพของเราเองสำคัญที่สุด การกินที่ถูกต้องจะช่วยให้เราปลอดภัยจากโรคภัย ไข้เจ็บ และมีสุขภาพที่ดี

credit จาก: ku.ac.th/e-magazine/december47/know/eat9

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

ทำไมกินน้ำเย็นถึงไม่ดี?

ทำไมกินน้ำเย็นถึงไม่ดี?




วันนี้มาอัพเดทเวปหลังจากไม่ค่อยมีเวลามาอัพเดทเลยครับ พอดีมีคนใกล้ตัวสงสัยขึ้นมาว่า "ทำไมการดื่มน้ำเย็นถึงเป็นอันตราย"

อากาศเมืองไทยมันร้อนเนอะ เวลาทานข้าวก็ข้าวก็อยากจะทานน้ำเย็นๆ เพื่อดับกระหาย แต่การดื่มน้ำเย็นมันก็มีผลเสียต่อร่างกายจริงๆสาเหตุหลักๆก็เพราะ ร่างกายของคนเรามีอุณหภูิมิที่เหมาะสมอยู่ที่ 32 องศาเซลเซียส แต่น้ำเย็นอุณภูมิมันต้องต่ำกว่า 32 องศาแน่ๆ ไม่งั้นเราคงไม่รู้สึกเย็นหรอก


ทีนี้ในระบบการย่อยอาหารของคนเราเนี่ย จะมีการหลั่งสารคัดหลั่งออกมาจำพวกเอ็นไซม์เพื่อย่อยอาหาร ซึ่งสารเหล่าเนี่ยะ มันออกแบบออกมาให้ทำงานได้ดีกับอุณหภูมิปกติของร่างกายของเรา ซึ่งอุณหภูมิต่ำๆเนี่ย มันดันไปลด activity(การทำงาน)ของเอนไซม์ที่จะมาย่อยอาหารเหล่านี้ทำให้การย่อยไม่ดี นอกจากนี้ในระบบทางเดินอาหารของเราเนี่ยยังประกอบด้วยกล้ามเนื้อต่างๆอีกด้วย กล้ามเนื้อพวกนี้ถ้าได้รับความเย็นจากน้ำเย็นๆก็จะทำให้เกิดอาการชา (เหมือนเวลาหน้าหนาวที่อากาศหนาวจัดๆปลายนิ้วมือนิ้วเท้าจะชาๆ จากความเย็น)และทำให้เกิดการบีบตัว คลุกเคล้าอาหารที่จะทำการย่อยได้ไม่ดีก็เป็นปัญหาในระบบทางเดินอาหารอีกเช่นกัน

ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ ทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อ ระบบการย่อยไม่ดี และอาจทำให้เกิดเป็นโรคกรดไหลย้อนได้อีกด้วย

ดังนั้น พวกเราทั้งหลาย ก็ดื่มน้ำเย็นให้มันน้อยๆลงซักนิด เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น แต่ผมก็กินน้ำเย็นอยู่บ้างนะ ของอย่างงี้มันห้ามกันยากเนอะ เอาเป็นว่าคราวหน้าผมจะมาอัพเืดทบทความใหม่ๆ บ่อยๆนะครับ ขอบคุณที่ติดตามกันทุกคนครับ

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

ทานอย่างไรให้ชะลอแก่ - โปรตีน 2 ทานโปรตีนอย่างไรให้ชะลอแก่

ทานอย่างไรให้ชะลอแก่ - โปรตีน 2 ทานโปรตีนอย่างไรให้ชะลอแก่



ทานอย่างไรให้ชะลอแก่ - โปรตีน 1 : โปรตีนคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร
เรารู้ถึงความสำคัญของโปรตีนไปแล้วที่นี้เรามาดูกันว่าเราควรเลือกทานโปรตีนอย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าโปรตีนจะอุดมอยู่ในอาหารประเภทเนื้อนมไข่ และถ้ามาจากพืชก็จะเป็นพืชตระกูลถั่ว ร่างกายของคนเราจะต้องการโปรตีนไม่เท่ากัน โดยจะขึ้นอยู่กับวัย และสภาพร่างกาย โดย
ในเด็กเล็ก 1- 5 ปีจะต้องการโปรตีน 1.4 กรัมต่อน้ำหนักตัวต่อวัน หมายความว่า ถ้าเด็กน้ำหนัก 10 กิโลกรัม ก็จะต้องการโปรตีน 14 กรัมต่อวัน เนื่องจากต้องการโปรตีนปริมาณมากในการสร้างเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย
เด็กวัย 6-15 ปีจะต้องการโปรตีน 1.2 กรัมต่อน้ำหนักตัวต่อวัน
วัยรุ่น 15-18 ปีจะต้องการโปรตีน 1.1 กรัมต่อน้ำหนักตัวต่อวัน
ส่วนผู้ใหญ่ทั่วไปต้องการโปรตีน 1.0 กรัมต่อน้ำหนักตัวต่อวัน
สำหรับหญิงมีครรภ์จะต้องการโปรตีน 1.0 กรัมต่อน้ำหนักตัวต่อวัน แล้ว+เพิ่มอีก 25 กรัม เช่น ถ้าหญิงคนนั้นน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม จะต้องการโปรตีน 50 + 25 = 75 กรัมต่อวัน

ทีนี้เราจะมาคำนวนกันคร่าวๆ
ถ้าเรารับประทานเนื้อสัตว์เป็นแหล่งโปรตีนอย่างเดียว
เนื้อสัตว์ 1 กิโลกรัมจะประกอบด้วยน้ำ 75% แสดงว่าเป็นส่วนที่เป็นเนื้อ 25% หรือก็คือ 250 กรัม
เมื่อแยกส่วนที่เป็นไขมันและกากออกแล้ว จะเหลือโปรตีนอยู่ประมาน 100 กว่ากรัมเท่านั้น ซึ่งเมื่อย่อยแล้วจะได้กรดอะมิโนที่จำเป็นประมาณ 37-50 กรัมเท่านั้น

หมายความว่าชายไทยคนหนึ่งน้ำหนักตัว 70 กิโลกรัมถ้าทานเนื้อสัตว์เป็นแหล่งโปรตีนเพียงอย่างเดียวจะต้องทานเนื้อสัตว์วันละประมาณ 1.2-2 กิโลกรัม เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน

ดังนั้นเราจึงควรบริโภคโปรตีนจากแหล่งอื่นๆเพิ่มเติมด้วย

นอกจากนี้แหล่งโปรตีนจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งก็จะมีกรดอะมิโนที่จำเป็นไม่ครบอีกด้วย เช่น ถ้าบริโภคโปรตีนจากพืชตระกูลถั่วอย่างเดียวก็จะทำให้ขาดกรดอะมิโนจำเป็นบางชนิดเช่น เมไธโอนีน ซึ่งจะก่อโรคชนิดหนึ่งซึ่งคนที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์จะเป็นกัน เนื้อสัตว์แต่ละชนิดก็มีปริมาณกรดอะมิโนที่จำเป็นไม่เหมือนกัน ดังนั้นเวลาเราบริโภคอะไรก็ตามควรจะรับประทานหลายๆอย่างไม่ควรรับประทานอย่างเดียวเพื่อให้ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนและเพียงพอต่อร่างกาย เช่นควรรับประทานเนื้อสัตว์หลายๆชนิด ดื่มนมทั้งนมวัว และ นมถั่วเหลือง หรือไม่ถ้าหากไม่สะดวกในการหารับประทานให้ครบ อาหารเสริมก็เป็นทางเลือกหนึ่งได้เหมือนกัน

หากการกินเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้สุขภาพดี และเป็นปัจจัยที่ควบคุมง่ายที่สุด ดังนั้นเราควรเริ่มมาสนใจในการบริโภคในชีวิตประจำวันมากขึ้น เพื่อให้มีสุขภาพดี มีความสุขสมบูรณ์และชะลอความแก่ เพื่อให้เป็นหนุ่มสาวกันนานๆ

ทานอย่างไรให้ชะลอแก่ - โปรตีน 1 โปรตีนคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร

ทานอย่างไรให้ชะลอแก่ - โปรตีน 1 โปรตีนคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร

ทานอย่างไรให้ชะลอแก่ จากที่เราเคยได้ยินมา เราทราบมาตลอดว่าต้องทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

อาหารที่ให้สารอาหารประเภทโปรตีน
แต่มันเพียงพอจริงเหรอ?
อาหารหมู่ที่ 1 คือโปรตีน ท่านเชื่อหรือไม่ว่า คนไทยมากกว่า 50% ขาดโปรตีนกันทั้งนั้น
บางคนก็อ้างว่า เมื่อเช้าก็กินกระเพราไก่ไปแล้ว กินไก่ก็มีโปรตีนแล้วนี้ น่าจะพอแล้วนะ
ใช่ เนื้อไก่มีโปรตีนก็จริง แต่มันเพียงพอต่อร่างกายเราป่าวหล่ะ
โปรตีน กับร่างกายของเรา
ร่างกายเรามีโปรตีนเป็นส่วนประกอบเป็นอันดับสองรองจากน้ำ
โดยโปรตีนจะอยู่ในกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ กระดูก ผิวหนัง เลือด และอื่นๆอีกด้วย โปรตีนเมื่อถูกย่อยที่กระเพราะอาหารและลำไส้เล็กจะได้หน่วยย่อยของโปรตีนก็คือ กรดอะมิโน

กรดอะมิโนมีทั้งหมด 20 ชนิด (ไม่กล่าวชื่อของแต่ละชนิดละกัน เพราะไม่รู้ว่าจะให้จำไปทำไม)ก็แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ กรดอะมิโนจำเป็นและกรดอะมิโนไม่จำเป็น

กรดอะมิโนไม่จำเป็นคือกรดอะมิโนที่ร่างกายเราสามารถสังเคราะห์เองได้ จึงไม่จำเป็นต้องกินเพิ่มเข้าไป
ส่วนกรดอะมิโนจำเป็นก็คือกรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องกินเพิ่มเข้าไป

โปรตีนมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างไร?
1. โปรตีนทำหน้าที่เป็นโครงสร้างต่างๆของร่างกาย ทั้งกล้ามเนื้อ ผิวหนัง กระดูก เม็ดเลือด ฯลฯ
2. โปรตีนทำหน้าที่ขนส่งสารต่างๆในร่างกาย เช่น ฮีโมโกลบิน ทำหน้าที่จับออกซิเจนแล้วไปส่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย
3. โปรตีนเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เอาง่ายๆก็เม็ดเลือดขาว เป็นโปรตีนที่มีหน้าทีกำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม นอกจากนี้ระบบภูมิคุ้มกันต่างๆของร่างกายยังควบคุมด้วยโปรตีน
4. โปรตีนทำหน้าที่รักษาความดันน้ำ (Osmotic Pressure) ภายในร่างกาย ทำให้ไม่เกิดอาการบวมน้ำ
5. โปรตีนช่วยเก็บสารอาหารต่างๆไว้ภายในร่างกาย เช่าน เฟอร์ริติน ช่วยเก็บธาตุเหล็กไว้ในเซลล์เนื้อเยื่อ
6. โปรตีนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ โดยในกล้ามเนื้อมีโปรตีน Actin และ Myosin ช่วยการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

อาการที่เกิดจากการขาดโปรตีน
- เกิดอาการอ่อนเพลีย เช่น ง่วงนอน เพลียช่วงบ่ายๆ
- หลังเท้าบวม จนในที่สุดก็บวมทั้งตัว อาจบวมมากจนมีน้ำในช่องท้องและช่องปอด ทำให้หายใจขัด
- ผิวหนังจะเกรียมเป็นสีดำไหม้ มีรอยแตกตามบริเวณที่ถูกเสียดสี ทำให้แบคทีเรียเข้าสู่รอยแตก
- ผมจะแห้งกรอบ ร่วงง่าย
- เบื่ออาหาร ซึม
- มีการเปลี่ยนแปลงของส่วนประกอบภายในเซลล์ทุกเซลล์ของระบบต่างๆ เมื่อถึงกรณีนี้ แพทย์ก็ไม่สามารถรักษาได้

คราวหน้าเราจะมาต่อว่า เราควรกินโปรตีนอย่างไรให้ประโยชน์สูงสุดและทำให้ร่างกายเราแข็งแรงสุขภาพดี มีความสุขสมบูรณ์และชะลอการแก่ชรา

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

วิธีลดความเครียด ดนตรีบำบัด ลดความเครียดด้วยเสียงเพลง

วิธีลดความเครียด ดนตรีบำบัด ลดความเครียดด้วยเสียงเพลง



ความเครียดเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สุขภาพของเราลดลง ทำให้เราแก่ตัวเร็วขึ้น วันนี้จะเสนอวิธีดนตรีบำบัด เพื่อเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยละความเครียด และเป็นการชะลอความแก่ และ ดูแลสุขภาพด้วยตนเองง่ายๆ



ฟัง เสียงดนตรีคึกคักใจเราก็อยากเต้นตาม แต่พอเป็นจังหวะสบายๆ เราก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลาย อย่างกับว่าจังหวะและเสียงนั้นสั่งใจเราได้ก็ไม่ผิดนัก


ด้วย เหตุนี้เอง คนยุคใหม่เลยนำความมหัศจรรย์ของดนตรีมาใช้กับการบำบัดความเครียด นอกเหนือจากการฟังเพลงทั่วๆ ไปแล้วรู้สึกดี ซึ่งจะว่าไปแล้ว ดนตรีไม่ได้เกิดจากจินตนาการในการจับโน่นผสมนี่ของตัวโน้ตอย่างที่เราคิด แต่เป็นการเรียบเรียงที่เป็นแบบแผน และมีโครงสร้างที่สามารถอธิบายในแนวทางวิทยาศาสตร์ได้ ดนตรีจึงสามารถสร้างขึ้นเพื่อนำมาบำบัดมความรู้สึก และอารมณ์เราได้อย่างน่าเชื่อถือ

ดนตรี เป็นสื่อภาษาสากลที่ไม่ว่าคนชาติไหนๆ ก็เข้าใจเนื้อดนตรีเดียวกัน ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้ ดนตรีจึงสามารถใช้สื่อสารได้กับคนทั้งโลก รวมทั้งการนำมารักษาโรคได้กับทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือคนที่ผิดปกติทางอารมณ์

ตั้งแต่อดีตมาแล้วที่เรารู้จักดนตรี และยังพบว่ามันมีพลังมหาศาลนารรักษาโรค อย่างคนธิเบตก็ใช้วิธีการเคาะระฆัง เคาะชาม และใช้เสียงสวดมนต์ในพิธีกรรม ที่เชื่อด้วยว่าจะช่วยปรับสมดุลใจของเรา คนไทยเราเองก็ใช้การสวดมนต์ ที่นอกเหนือจากเรื่องศาสนาแล้ว ก็ยังเป็นคลื่นเสียงที่ช่วยสงบจิตใจเราให้นิ่งขึ้น

นี่ล่ะที่เป็นเหตุผลที่ว่า เวลาเราซึมเซา อยากกระฉับเฉง แค่เปิดดนตรีฟังสนุกเราก็ตื่นตัวขึ้นมาได้ง่ายๆ แล้ว ดนตรีจึงมีพลังกับเราไม่น้อยเลย และยังสามารถนำมาจัดการกับความเครียดได้ด้วย เพราะหากเราได้ฟังดนตรีจังหวะผ่อนคลาย การทำงานของสมองเราจะตอบสนองตาม และร่างกายของเราจะเปลี่ยนไป เช่น หายใจเรียบขึ้น หัวใจเต้นช้าลง ความดันเลือกปกติ ม่านตาหดลง กล้ามเนื้อก็ไม่ตึงเกร็ง ผลดีเหล่านี้ทำให้เราศึกษาการใช้ดนตรีมาบำบัดความเครียดกันมากขึ้นเรื่อยๆ และยังรักษาร่างกายที่เจ็บป่วยได้อีกด้วย

ประโยชน์ดนตรีบำบัด

ลดความวิตกกังวลได้ เพียง เราฟังดนตรีจังหวะช้าๆ ผ่อนคลาย พลางหลับตาจินตนาการภาพที่เรารู้สึกดี เราก็จะลดความตึงเกร็งของร่างกายทุกส่วนลง และยังปรับสมดุลใจเราให้เป็นปกติ

เพิ่มภูมิคุ้มกันได้ เพราะเมื่อร่างกายสงบ การไหลเวียนเลือดเป็นปกติ การหายใจผ่อนคลาย และความเจ็บปวดลดลง ร่างกายก็จะตอบสนองเป็นจิตใจที่ดี มีภูมิคุ้มกันยามเจ็บป่วย

เพิ่มทักษะการสื่อสาร คนที่สื่อสารติดขัด ดนตรียังช่วยปรับคลื่นเราสมองเราให้เป็นปกติ ทำให้เราเรียบเรียงความคิดและการสื่อสารออกไปดีขึ้นได้ รวมทั้งการแสดงออกของเราด้วย

ทำให้เรามั่นใจขึ้น การขาดความมั่นใจในตัวเองก็เป็นปัญหาทางจิตใจอย่างหนึ่ง แต่หากเราได้บำบัดเป็นกลุ่ม ได้ร้องเพลงร่วมกัน ได้เต้นรำไปด้วย ก็มีการพบว่าเราจะให้ความสำคัญกับตัวเรามากขึ้น มั่นใจในการแสดงออกขึ้น

เยียวยาบำบัดโรค โรค ในที่นี้มีทั้งโรคทางร่างกาย และโรคทางจิต มีการนำดนตรีมารักษาอย่างจริงๆ จังๆ แล้วมากมาย แล้วพบว่าช่วยให้คนไข้เคลื่อนไหวและควบคุมตัวเองดีขึ้น ลดการแสดงออกที่ไม่เหมาะสม แก้ปมในใจ และยังสร้างเสริมอารมณ์เชิงบวกได้เป็นอย่างดี

หรือลองมาบำบัดอารมณ์ให้สดใส ด้วยการฝึกใช้ดนตรีให้เป็นประโยชน์ตามนี้

วิธีการบำบัดความเครียดด้วยดนตรี1. เลือกดนตรีที่เรารู้สึกดี ฟังสบาย อาจเป็นทำนองหรือมีเนื้อร้องก็ได้ แต่เหมาะกับอารมณ์ในเวลานั้น เช่น ดนตรีบำบัดเครียด หรือดนตรีเพิ่มความตื่นตัว เป็นต้น

2. เอนหลังไปกับที่นอนหรือเก้าอี้นุ่มๆ ปรับอุณหภูมิหรือห่มผ้าให้อุ่นสบาย

3. เปิดดนตรีฟังสัก 10 – 15 ที หลับตาจินตนาการถึงความรู้สึกดีๆ หรือภาพที่เราประทับใจน้ำ

4. อาจเพิ่มการจุดเทียนหอม หรือเหยาะน้ำมันหอมระเหยเพื่อปรับบรรยากาศห้องเพิ่มก็ได้

credit จาก : music-parks.com

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แจ้งการให้บริการเดือน สิงหาคม 2555


16  สิงหาคม 2555
รับวัคซีนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในเด็ก
เวลา 08.30 - 12.00 น.





17 สิงหาคม 2555

รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ในกลุ่ม

                  ผู้ที่มีน้ำหนัก 100 กิโลกรัม
                 
                                   ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
                                             
                                   ผู้สูงอายุ ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป




21 สิงหาคม  2555 ตรวจคัดกรองเบาหวาน หมู่ 7 , 13 และหมู่ 15
23 สิงหาคม  2555 ตรวจคัดกรองเบาหวาน หมู่ 6 , 18