วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โรคมือเท้าปาก




ความรู้เรื่องโรคมือ เท้า ปาก
                                                                  สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี
                                                                                                     19 กรกฎาคม 2555
           โรคมือ เท้า ปาก เป็นกลุ่มอาการหนึ่งของโรคติดเชื้อเอนเทอโรไวรัส   เกิดจากเชื้อไวรัส โรคนี้พบบ่อยในเด็กทารกและเด็กเล็ก  เนื่องจากผู้ใหญ่มักมีภูมิต้านทานแล้วหรือไม่แสดงอาการ 
            เชื้อสาเหตุ   โรคนี้เกิดจากเชื้อเอนเทอโรไวรัสมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด  สามารถแพร่ติดต่อจากผู้ป่วย โดยการไอจามรดกัน หรือจากของเล่น ของใช้ที่ปนเปื้อนน้ำมูกน้ำลายหรือน้ำตุ่มแผลตามมือ เท้า และปาก  ช่องทางสำคัญคือมือที่ปนเปื้อนอุจจาระของผู้ป่วย เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางปาก
            อาการ  หลังจากได้รับเชื้อประมาณ 3 5 วัน  ผู้ป่วยจะเริ่มมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย ต่อมา มีอาการเจ็บปาก ไม่ยอมดื่มนมหรือทานอาหาร เพราะมีตุ่มพองใสรอบๆ แดงอักเสบที่ลิ้น เหงือกและกระพุ้งแก้ม ตุ่มพองนี้มักจะพบตามฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้าและก้น อาการจะค่อยๆทุเลาและหายเป็นปกติภายใน 7 10 วัน
            โดยทั่วไปโรคมือ เท้า ปากในประเทศไทยเป็นเชื้อชนิดที่มีอาการไม่รุนแรง  แต่ถ้าเป็นเชื้อชนิดรุนแรง (กรณีเกิดที่ประเทศกัมพูชา) อาจเกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ อัมพาตกล้ามเนื้อหรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และเสียชีวิตได้
การป้องกันโรค

        สถานรับเลี้ยงเด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาล
           1.ผู้ประกอบการในสถานเลี้ยงเด็กควรดูแลให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสุขลักษณะของสถานที่อย่างสม่ำเสมอ เช่น การเช็ดถูอุปกรณ์เครื่องเรือน เครื่องเล่น หรืออุปกรณ์การเรียนการสอนต่าง ๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคเป็นประจำ รวมทั้งการกำจัดอุจจาระปัสสาวะให้ถูกต้อง
            2.พี่เลี้ยงและเด็กควรตัดเล็บให้สั้น หมั่นล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังการขับถ่ายหรือเปลี่ยนผ้าอ้อม ก่อนเตรียมและป้อนอาหารให้เด็ก   ตลอดจนหลังการสัมผัสน้ำมูกน้ำลายเด็ก
           3.สอนให้เด็กล้างมือทุกครั้งหลังจากขับถ่าย ใช้ช้อนกลางและหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของ เช่น แก้วน้ำ
หรือหลอดดูดน้ำร่วมกัน
           4.ผู้ดูแลสระว่ายน้ำควรรักษาสุขลักษณะของสถานที่ โดยตรวจวัดและรักษาปริมาณคลอรีนคงเหลือไม่น้อยกว่า 0.5-1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร
           5. ควรหยุดใช้เครื่องปรับอากาศ เปิดม่านให้แสงแดดจัดๆ ส่องถึงภายในห้อง ในบางช่วงของวัน
          6.หากพบเด็กป่วย ควรแนะนำให้ผู้ปกครองพาเด็กไปพบแพทย์และหยุดรักษาตัวที่บ้าน ประมาณ 5 ถึง 7 วัน หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติ  เพื่อป้องกันการแพร่โรคไปยังเด็กอื่นๆ  
         ข้อแนะนำแก่พ่อแม่และผู้ดูแลเด็ก
         1.หากรู้สึกเจ็บป่วย แม้เพียงเล็กน้อย ต้องไม่คลุกคลีใกล้ชิดหรือดูแลเด็ก หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย และระมัดระวังการไอจามรดกัน ให้ใช้ผ้าปิดปากปิดจมูก
            2.รักษาสุขอนามัยส่วนตัวอย่างเคร่งครัด    หมั่นล้างมือบ่อยๆ    โดยเฉพาะหลังการขับถ่ายหรือเปลี่ยนผ้าอ้อม   ก่อนเตรียมและป้อนอาหารให้เด็ก
            3.ไม่ใช้ภาชนะในการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ เช่น จาน ชาม ช้อน แก้วน้ำ หรือหลอดดูดร่วมกัน และใช้ช้อนกลางในการตักอาหาร
           4.ไม่ควรนำเด็กเล็กไปในที่สาธารณะที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก ๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า สนามเด็กเล่น ตลาดนัด และสระว่ายน้ำ ควรอยู่ในที่ที่มีการระบายถ่ายเทอากาศได้ดี

การดูแลรักษาผู้ป่วย
           1.โรคนี้ไม่มียารักษาโรคโดยเฉพาะ แพทย์จะให้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาทาแก้ปวด ควรเช็ดตัวลดไข้
           2.ให้เด็กรับประทานอาหารอ่อนๆ รสไม่จัด ไม่ร้อนมากเพราะจะเจ็บปาก ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ น้ำผลไม้ และนอนพักผ่อนมากๆ และอาจต้องป้อนนมให้ทารกแทนการดูดจากขวด
      3.หากอาการผู้ป่วยไม่ดีขึ้น เช่นมีไข้สูง 2-3 วัน ซึม ไม่ยอมทานอาหารหรือดื่มนม อาเจียน หอบ แขนขา อ่อนแรง เป็นต้น  ต้องรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันทีเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและป้องกันการเสียชีวิต



ที่มา : http://www.youtube.com/user/Achibimaru