ตับ
เป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในช่องท้อง
อยู่บริเวณชายโครงด้านขวามาถึงลิ้นปี่
หนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม
มีหน้าที่สำคัญในการสร้างน้ำดีเพื่อช่วยย่อยอาหาร, กรองและกำจัดสารพิษ, เป็นแหล่งสะสมธาตุเหล็ก
วิตามินและเกลือแร่, สร้างสารที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด,
เป็นแหล่งสะสมพลังงานโดยเก็บในรูปของน้ำตาล
และสร้างสารที่เป็นส่วนประกอบของโปรตีน
ไวรัสตับอักเสบคือไวรัสที่ชอบทำอันตรายต่อเฉพาะตับเป็นหลัก โดยที่รู้จักกันดีในปัจุบันคือไวรัสตับอักเสบ
เอ บี ซี ดี และ อี
ที่สำคัญในบ้านเราเรียงตามลำดับคือ บี ซี และ เอ
โดยคาดว่าอย่างน้อยประชากรร้อยละ 5 เป็นไวรัสตับอักเสบ บีเรื้อรัง
และร้อยละ 1 เป็นไวรัสตับอักเสบ ซีเรื้อรัง
การติดต่อ
ไวรัสตับอักเสบ เอ
และอีจะติดต่อส่วนใหญ่จากการปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่ม
อาจอยู่ในอาหารอยู่แล้วหรือเป็นเพราะผู้ขายอาหารที่ป่วยเป็นไวรัสดังกล่าวนำมาแพร่ ส่วนไวรัสตับอักเสบ บีและซี การติดต่อหลักทางเลือด เพศสัมพันธ์
การสักตามร่างกาย
เจาะหูหรืออวัยวะต่างๆการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน สำหรับไวรัส บี อาจติดจากมารดาสู่ทารก
แต่ปัจจุบันมีน้อยมากเพราะมีการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส บี
ให้กับทารกเกิดใหม่ทุกราย
อาการ
ตับอักเสบเฉียบพลัน
อาการของตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัสทุกชนิดเหมือนกัน โดยผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
จุกแน่นบริเวณชายโครงขวาจากการที่ตับโต
ปัสสาวะมีสีเข้ม ตาเหลือง
เมื่ออาการของโรคเต็มที่จะค่อยๆดีขึ้นเข้าสู่ระยะฟื้นตัวและหายพร้อมกับมีภูมิต้านทานเกิดขึ้น สำหรับไวรัสตับอักเสบ เอ และอี
จะหายขาดพร้อมมีภูมิต้านทานเกิดขึ้นแต่สำหรับไวรัสตับอักเสบ บี ร้อยละ
5-10 และไวรัสตับอักเสบ ซี กว่าร้อยละ 80
เป็นเรื้อรัง
ตับอักเสบเรื้อรัง
ทั้งไวรัส บีและซี ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการของโรค มักไม่มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีอาการตัวตาเหลือง การตรวจร่างกายอาจเป็นปกติ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยดูการอักเสบของตับจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ทราบถึงความผิดปกติในการทำงานของตับได้
ผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังที่มีอาการและเซลล์ตับได้รับการทำลายมากๆจะทำให้กลายป็นโรคตับแข็งในที่สุด
ตับแข็งและมะเร็งตับ
ในระยะแรกจะไม่มีอาการ
อาจมีเพียงอ่อนเพลียกว่าปกติ
หากมีอาการมาก
จะมีอาการจากการทำงานของตับเสื่อมลง
โดยผู้ป่วยส่วนมากที่มาพบแพทย์จะมาเพราะอาการแทรกซ้อน เช่น
อาเจียนเป็นเลือด เท้าบวม ท้องบวม
หรืออาจเป็นมะเร็งตับ
การวินิจฉัยโรค
ตรวจการทำงานของตับ
โดยหาเอ็นไซม์ที่ปล่อยออกมาจากเซลล์ตับที่อักเสบ ได้แก่
SGOT (AST) และ SGPT (ALT) ระดับปกติของเอ็นไซม์สองตัวนี้จะต่ำกว่า 40
หากสูงผิดปกติจะบ่งบอกถึงการอักเสบของตับ
แพทย์จะตรวจ
หลักฐานการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
จากเลือด (viral markets)
และอาจตรวจทางรังสีวิทยา
เช่น ตรวจด้วยคลื่นเสียง
(Ultrasound)
หรือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
อาจช่วยในการประเมินว่ามีตับแข็งหรือก้อนผิดปกติในตับหรือไม่แต่ไม่ไวพอในการประเมินโรคตับ
การรักษา
ผู้ป่วยที่มีอาการตับอักเสบเฉียบพลัน
จะค่อยๆทุเลาขึ้นเองเมื่อพักผ่อนและรับประทานอาหารให้เพียงพอ
ผู้ป่วยบางรายเข้าใจว่าการดื่มน้ำหวานในปริมาณมากๆจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะน้ำตาลจะไปเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในตับ และอาจทำให้ตับโตจุกแน่นกว่าปกติ
ส่วนมากผู้ป่วยที่มีอาการตับอักเสบเรื้อรังจะไม่แสดงอาการ แพทย์จะประเมินว่าสมควรให้การรักษาหรือไม่
ในปัจจุบันสามารถรักษาและควบคุมโรคได้ดี
ผู้ป่วยควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็น
ออกกำลังกายและหมั่นตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ สิ่งสำคัญที่ควรทราบก็คือ
การรับประทานยาคุมกำเนิดจะไม่ส่งผลกระทบต่ออาการของโรค และผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ บี
สามารถตั้งครรภ์ได้
การป้องกัน
ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ เอ และ บี ที่มีประสิทธิภาพดีมากและปลอดภัย
ใครควรได้รับการตรวจหาไวรัสตับอักเสบ
ผู้ที่มีการทำงานของตับผิดปกติ หรือมีอาการตับอักเสบ
ผู้ที่มีประวัติโรคตับ
ก่อนการแต่งงาน
ผู้ป่วยไตวายหรือจำเป็นต้องได้รับยากดภูมิต้านทานหรือยาเคมีบำบัด
ผู้ป่วยตับแข็ง
นพ.ทวีศักดิ์
แทนวันดี
อายุรกรรมโรคทางเดินอาหาร